ในโลกปัจจุบันที่โรคต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โรคตับอักเสบบีได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สำคัญและน่ากังวล สาเหตุอย่างหนึ่งของโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ สามารถนำไปสู่อาการเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคตับอักเสบบี รวมทั้งวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยจะพาผู้อ่านไปสำรวจข้อมูลตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การใช้ยาต้านไวรัส การดูแลตัวเอง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตประจำวัน
ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายเซลล์ตับ ไวรัสนี้มีชื่อว่า hepatitis B virus (HBV) และสามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี ทั้งผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของบุคคลที่ติดเชื้อ การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนไวรัส การมีเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดโรคทั้งในรูปแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ในรูปแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง และปวดท้อง ส่วนในรูปแบบเรื้อรัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังคงทำลายตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมุ่งเน้นทั้งการจัดการกับการติดเชื้อและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ วิธีการรักษาสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือการรักษาในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง
การรักษาในระยะเฉียบพลัน
ผู้ป่วยที่มีไวรัสตับอักเสบบีในรูปแบบเฉียบพลันมักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้เอง อาจกินเวลาหลายเดือน การรักษาในระยะนี้มักเน้นที่การบรรเทาอาการ เช่น การให้สารน้ำทดแทนและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือการนอนโรงพยาบาลร่วมด้วย
การรักษาในระยะเรื้อรัง
สำหรับผู้ที่มีโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง การรักษามุ่งเน้นไปที่การใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ยาต้านไวรัสจะช่วยลดจำนวนไวรัสในร่างกาย ลดการอักเสบและความเสียหายของตับ และช่วยป้องกันการกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การรักษานี้มักต้องใช้เวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต โดยแพทย์มีการนัดตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาและปรับปรุงแผนการรักษาตามความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีคือ การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาต้านไวรัสบางชนิด การกลายพันธุ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไวรัส ทำให้ยาที่เคยใช้ได้ผลกลายเป็นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถกลายพันธุ์ได้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของตัวเองได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการกินยาไม่สม่ำเสมอ และปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ ของผู้ป่วย เช่น มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เป็นเพศชาย เป็นโรคเอดส์ร่วมด้วย มีค่าเอนไซม์ก่อนการรักษาต่ำ ผลการตรวจชิ้นเนื้อไม่ดีตั้งแต่ก่อนการรักษา นับไวรัส DNA ก่อนรักษา มากกว่า 149 ล้านตัว และหลังการรักษาไประยะหนึ่งแล้วไวรัสยังมากกว่า 10,000 ตัว การกลายพันธุ์หลัก ๆ มี 2 ชนิด ดังนี้
ไวรัสบีที่มีการกลายพันธุ์แบบไม่มี HBeAg (HBeAg negative hepatitis)
ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทั่วไป (HBeAg positive hepatitis) การตรวจ HBeAg จะเป็นบวก ซึ่งหมายถึงมีจำนวนไวรัสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบเยอะอย่างเห็นได้ชัด แต่ใน HBeAg negative hepatitis การตรวจ HBeAg จะเป็นลบ ซึ่งหมายถึงตรวจไม่พบ HBeAg แต่ยังมีการอักเสบเกิดขึ้นอยู่
**HBeAg (hepatitis B e-antigen) เป็นค่าที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อและมีการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (viral replication)
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยภาวะนี้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบระดับ SGPT (serum glutamic pyruvic transaminase) เพื่อตรวจสอบระดับของการอักเสบในตับของผู้ป่วย ถ้า SGPT สูงขึ้น อาจแสดงถึงการอักเสบในตับ จากนั้นแพทย์อาจส่งการตรวจ HBeAg เพื่อดูว่าเป็นลบหรือบวก ถ้า HBeAg เป็นลบและไม่มีสาเหตุตับอักเสบอื่น ๆ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจนับไวรัสตับอักเสบบี ถ้าจำนวนไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 1 แสนตัว อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ว่ามีการกลายพันธุ์ของไวรัสและไม่มี HBeAg ในเลือดของผู้ป่วย
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีความยากลำบากในการรักษาและมีความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น การรักษาแบบเดิมๆ ด้วย IFN (interferon) หรือ Lamivudine ในช่วงแรกอาจมีผลดี แต่จะมีปัญหาการดื้อยาภายหลังที่มีความยากลำบากในการรักษาและเสี่ยงสูง ผลการรักษายังไม่ดีเท่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา ในปัจจุบันมักให้ยาทาน Lamivudine หรือ Adefovir ตลอดชีวิตโดยไม่หยุดยาเลย หรือแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยารักษาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ข้อจำกัดของยาฉีดคือมีราคาสูง
ผลการรักษาไวรัสบีกลายพันธุ์ ชนิดนี้พบว่ารักษาแล้ว สามารถหยุดการแบ่งตัวไวรัสได้ แต่ผลการรักษาไม่ดีเท่าไวรัสบีปกติทั่วไป ถ้าเลือกรับประทานยาตลอดชีวิต ในระยะยาวก็มักเกิดการดื้อยา ต้องเปลี่ยนยาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจไม่มียารักษา ผู้ป่วยหลาย ๆ รายจึงอาจตัดสินใจฉีดยารักษาแม้ว่าแพงกว่ามากก็ตาม
การกลายพันธุ์จนสามารถดื้อยารักษาแบบรับประทาน Lamivudine (YMDD mutant)
Tyrosine-methionine-aspartate-aspartate (YMDD) mutant เป็นรูปแบบที่เกิดการกลายพันธุ์ที่กระทบต่อการรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส เช่น Lamivudine หรือ Entecavir ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยในระหว่างการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเช่น Lamivudine ไวรัสตับอักเสบบีอาจมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในพื้นที่ที่เรียกว่า YMDD motif ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในกระบวนการเพิ่มจำนวนไวรัส การกลายพันธุ์นี้ทำให้ยา Lamivudine ไม่สามารถยับยั้งไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทำได้โดยการติดตามการรักษาด้วยยา Lamivudine ในระยะเวลาหนึ่ง หากเกิดตับอักเสบร่วมกับการเพิ่มจำนวนไวรัสตับอักเสบบีในเลือดเป็นหลักแสนหรือล้านตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าไวรัสกลายพันธุ์และมีความเสี่ยงในการดื้อยา Lamivudine ในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ตามต้องแยกจากผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ จนทำให้จำนวนไวรัสในร่างกายเพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ตับอักเสบมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มนี้หากกลับมารับประทานยาสม่ำเสมอและแก้สาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นและไม่ใช่กลุ่มที่เป็นไวรัสตับอักเสบกลายพันธุ์
การรักษา
ให้เพิ่มยารักษาไวรัสบีตัวใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัว แล้วทำการติดตามตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด หรือ นัดตรวจถี่ขึ้นจนแน่ใจว่าไวรัสไม่อักเสบแล้ว หรือ พิจารณาย้ายไปรักษาด้วยการฉีดยารักษาแทนการกินยารักษา
การดำเนินโรคของการกลายพันธุ์
การกลายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบบีมีรายงานว่าสามารถทำให้โรคดำเนินไปเร็วกว่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา และอาจทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยา
- ในระยะ 1 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 14%
- ในระยะ 2 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 38%
- ในระยะ 3 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 49%
- ในระยะ 4 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 66%
- ในระยะ 5 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 69%
อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรับยาต้านไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การรักษาไวรัสตับอักเสบบีที่กลายพันธุ์ดื้อยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและควรคำนึงถึงอย่างใกล้ชิดในการรักษาผู้ป่วยในระยะยาว
การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
การฉีดวัคซีนตับอักเสบบี
วัคซีนตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันหลักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้ การฉีดวัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีและป้องกันการติดเชื้อในระยะต่อไป
การฉีดวัคซีนตับอักเสบบีสามารถทำได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทารกแรกเกิดจะได้รับวัคซีนตับอักเสบบีในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะได้รับในวันแรกหรือไม่นานหลังเกิดทั้งหมด 3 รอบ วัยผู้ใหญ่มีรอบการฉีดทั้งหมด 3 รอบในลักษณะเดียวกัน โดยรอบแรกจะเริ่มต้นในเวลาที่กำหนด และจากนั้นจะฉีดเข็มที่ 2 หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 1
ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง
การเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ควรเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ
ในผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยวางแผนสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น การวางแผนการฉีดวัคซีน และยังช่วยให้ทราบสุขภาพของตับโดยรวมอีกด้วย
ส่วนในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การตรวจสุขภาพตับจะทำให้ทราบถึงระยะของโรค ความรุนแรงของโรค ซึ่งมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษา ประเมินการรักษา และช่วยให้วางแผนการดูแลตัวเอง เพื่อควบคุมไม่ไห้โรครุนแรงขึ้น
ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจค่าต่าง ๆ เช่น
- การตรวจ ALT ALT (alanine aminotransferase) ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของตับ ถ้าระดับ ALT สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณของการทำงานของตับที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- การตรวจระดับไวรัสตับอักเสบบี (HBV DNA) ในเลือดช่วยให้แพทย์ประเมินปริมาณไวรัสที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อและติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับไวรัสในระยะต่อไป
- การตรวจ HBsAg (hepatitis B surface antigen) เป็นวิธีการตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้าผลตรวจเป็นบวก หมายความว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
สรุป
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่มีการติดเชื้อไวรัสแล้วทำให้เกิดตับอักเสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ การรักษาปัจจุบันของโรคนี้คือการรักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีทั้งยากินและยาฉีด ทั้งนี้ต้องร่วมกับการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันสาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการป้องกันการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตับอักเสบบีได้