โรคต้อหิน เป็นโรคของดวงตาที่พบได้บ่อย มีสาเหตุมาจากเซลล์ประสาทตาถูกทำลายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถาวร ทำให้การมองเห็นลดลง หรือรุงแรงจนกระทั่งสูญเสียการมองเห็น โรคต้อหินสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่มักจะมีอาการ หรือสังเกตเห็นความผิดปกติในผู้สูงอายุที่อาการเป็นมากแล้ว ในคนอายุน้อยมักจะไม่ทราบว่าตนเองป่วย เนื่องจากจะไม่มีอาการ หรือยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ ทำให้การมองเห็นใกล้เคียงกับหรือยังค่อนข้างปกติ แต่มีความดันตาที่เพิ่มขึ้นและส่วนใหญ่มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ หรือเช็คสุขภาพประจำปี ซึ่งหากรอจนตามัวจึงมักจะสายเกินไป โรคต้อหินจึงถือเป็นภัยเงียบ ดังนั้นหากมีอาการสงสัย หรือมีปัจจัยเสี่ยงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ต้อหิน คืออะไร?
โรคต้อหิน (glaucoma) เป็นภาวะความผิดปกติของขั้วประสาทตาจากการที่เซลล์ประสาทตาถูกทำลายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างถาวร จนทำให้ลานสายตาค่อย ๆ แคบลง โดยเริ่มจากทางด้านข้างเข้ามาบริเวณตรงกลางของดวงตา ทำให้มีการมองเห็นลดลง หรือรุนแรงจนถึงสูญเสียการมองเห็นไปถาวร
โรคต้อหินเกิดจากอะไร?
โรคต้อหินสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่สำคัญคือ ความดันลูกตาที่สูง จนทำให้ลูกตาแข็งคล้ายหิน จึงเป็นที่มาของชื่อโรคต้อหิน และก็มีโรคต้อหินชนิดที่ความดันตาไม่สูง ซึ่งเชื่อว่าเกิดจาก เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้า ๆ จากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน และไมเกรน ซึ่งสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของต้อหินมักเกิดจากสาเหตุดังนี้
- ความเสื่อมตามวัย จะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยพบได้ในคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคต้อหิน
- ในคนที่สายตาสั้นหรือยาวมาก ๆ (สายตาสั้นเกิน 600 หรือสายตายาว เกินกว่า 400 )
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน เพราะทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
- เคยเป็นโรคทางตามาก่อน เช่น ภาวะตาติดเชื้อ หรืออักเสบในตา หรือโรคต้อกระจกที่ปล่อยทิ้งไว้นานจนเลนส์ตาสุกหรือบวม
- เคยได้รับอุบัติเหตุทางตา
- มีประวัติใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
โรคต้อหินมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคต้อหินแบบเรื้อรัง
- ในช่วงแรกผู้ป่วยโรคต้อหินจะไม่มีอาการใด ๆ เลย การมองเห็นจะเป็นปกติ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่จะมีความดันตาที่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีอาการแสดงอื่น ๆ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคต้อหินจะตรวจพบได้เมื่อเข้ารับตรวจสุขภาพตาประจำปี
- จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ความดันตาที่เพิ่มขึ้นจะไปทำลายขั้วประสาทตา ทำให้เกิดเป็นอาการแสดงที่เป็นสัญญาณเตือน เช่น เริ่มรู้สึกเดินชนสิ่งของบ่อย ๆ ล้มบ่อย เกิดอุบัติเหตุรถชนบ่อยขึ้น เหล่านี้เกิดจากการที่ผู้ป่วยมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก โดยอาการของโรคต้อหินจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นปี ๆ หรือ หลาย ๆ ปี
- ลานสายตาผู้ป่วยต้อหินจะค่อย ๆ แคบลง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
- อาการจะเกิดขึ้นกับตาทั้ง 2 ข้าง โดยข้างใดข้างหนึ่งจะเป็นเยอะกว่า
อาการต้อหินชนิดเฉียบพลัน
หากมีอาการของโรคต้อหินแบบเฉียบพลันดังต่อไปนี้ ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างรีบด่วน
- ปวดตาทั้ง 2 ข้าง โดยอาจมีอาการปวดตาข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาแดง
- ปวดหัว
- ปวดเบ้าตาบ่อย ๆ
- เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ
- ตามัวลง คล้ายมีหมอกมาบัง
ประเภทของโรคต้อหิน
โรคต้อหินสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
- ต้อหินแบบปฐมภูมิ: เป็นโรคต้อหินที่เกิดขึ้นโดยไม่มีโรคทางตาหรือโรคทางร่างกายอยู่เดิม โดยผู้ป่วยจะมีความดันลูกตาเพิ่มขึ้น ซึ่งแบ่งย่อยตามลักษณะของโรคตามมุมตาได้ 2 ชนิด คือ
– ต้อหินชนิดมุมตาเปิด เกิดจากทางเดินน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาผิดปกติ มีการตีบแคบของท่อที่เป็นทางระบายของน้ำเลี้ยงลูกตา ทำให้ความดันลูกตาค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นและไปกดขั้วประสาทลูกตา ผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นอย่างช้า ๆ ใช้ระยะเป็นเดือนหรือเป็นปี หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
– ต้อหินชนิดมุมตาปิด เกิดจากมีการปิดกั้นทางไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ ต้อหินชนิดนี้มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที สายตาจะกลับมาเหมือนเดิม หรือสูญเสียการมองเห็นน้อยกว่าการปล่อยทิ้งไว้ - ต้อหินแบบทุติยภูมิ: เป็นโรคต้อหินที่เกิดจากโรคตาอื่น ๆ เช่น ตาอักเสบ ตาติดเชื้อ ต้อกระจก หรือเกิดตามหลังโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา ความดัน หรือการใช้ยาหยอดตาบางชนิด เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ก็จะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อหินได้
- ต้อหินตั้งแต่กำเนิด: เป็นลักษณะต้อหินที่เกิดทางพันธุกรรม จะพบความผิดปกติตั้งแต่ในวัยทารก โดยพ่อแม่อาจจะพบว่า เด็กมีขนาดลูกตาใหญ่กว่าเด็กปกติ มีอาการกลัวแสง กระจกตาหรือส่วนของตาดำไม่ใส จนถึงขุ่นขาว มีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ
การวินิจฉัยโรคต้อหิน
จักษุแพทย์จะทำการซักประวัติ สอบถามโรคประจำตัว ซักประวัติครอบครัว ทำการวัดระดับสายตาทดสอบการมองเห็นเบื้องต้นว่าระดับสายตาปกติหรือไม่ จากนั้นจะทำการตรวจวินิจฉัยต้อหินด้วยวิธีการ วัดความดันลูกตา เพื่อพิจารณาค่าความดันตา ว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ โดยความดันตาไม่ควรสูงเกิน 21 มม.ปรอท แพทย์อาจจะทำการตรวจความผิดปกติของขั้วประสาทตาอย่างละเอียดด้วยเครื่องสแกนวิเคราะห์ขั้วประสาทตา (optical coherence tomography) และถ่ายภาพความหนาของชั้นจอประสาทตา เพื่อระบุความเสื่อมของชั้นจอประสาทตาด้วยเครื่องถ่ายภาพจอประสาทตา (fundus photography) ร่วมกับตรวจความผิดปกติของลานสายตาด้วยเครื่องมือตรวจลานสายตา ซึ่งต้องได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เครื่องมือพิเศษเหล่านี้ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคต้อหินได้อย่างชัดเจน และเพื่อติดตามการดำเนินโรคเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง
โรคต้อหินในผู้สูงอายุ
โรคต้อหินในผู้สูงอายุจะส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความจำกัดด้านการมองเห็น โดยจะมีลานสายตาแคบลง มองเห็นได้ไม่ชัดเหมือนเดิม ไปจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร การมองเห็นของผู้สูงอายุต้อหินจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุนั้นทำได้ลำบากมากขึ้น เช่น การขับรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับรถยนต์ตอนกลางคืน การทำอาหาร หรือแม้กระทั่งการเดิน ผู้สูงอายุที่เป็นโรคต้อหินจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มสูงมากกว่าผู้สูงอายุที่ไม่เป็นโรคต้อหิน ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรได้เข้ารับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการรักษาความดันตาให้อยู่ในระดับปกติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ซึ่งจะเป็นวิธีที่ช่วยดูแลสุขภาพดวงตา ชะลอความเสื่อมของดวงตา และทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โรคต้อหิน กับต้อกระจก ต่างกันอย่างไร?
โรคหินและโรคต้อกระจก ทั้งสองโรคเป็นโรคความเสื่อมของตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุลักษณะอาการต้อหินจะคล้ายกับการเป็นโรคต้อกระจก และโรคตาแห้ง แต่สาเหตุของโรคและวิธีการรักษาโรคนั้นจะแตกต่างออกไป
โรคต้อกระจกเกิดจากการเสื่อมของเลนส์ตา เมื่ออายุมากขึ้นเลนส์ตาจะแข็งและขุ่น ทำให้การมองเห็นภาพมัวลง ไม่ชัด เหมือนมีฝ้าหรือมีหมอกมาบังตา อาการตามัวจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งความขุ่นฝ้าในเนื้อเลนส์ตา
โดยอาการของโรคต้อหินและต้อกระจกจะมีอาการแตกต่างกันตามตารางต่อไปนี้
ข้อแตกต่างระหว่างต้อหิน และต้อกระจก
ต้อหิน | ต้อกระจก |
เกิดจากความเสื่อมของขั้วประสาทตา | เกิดจากเลนส์ตาขุ่น |
ตาค่อย ๆ มัวลงอย่าง ช้า ๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ทราบ และบอกไม่ได้ จนกว่าจะเป็นมากแล้ว | ตามัว ตาขุ่น มองเห็นภาพไม่ชัดเจน |
ลานสายตาแคบลง | ตาสู้แสงไม่ได้ |
ค่าความดันตาผิดปกติ (มากกว่า 21 มม.ปรอท) | มองเห็นได้ลำบากในที่ที่มีแสงน้อย |
ตาแดง ปวดตา | เห็นสีผิดไปจากเดิม |
การรักษาต้อหิน
เนื่องจากการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต่อหิน ไม่สามารถรักษาให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนเหมือนเดิมได้ ทำให้การรักษาโรคต้อหินจะมุ่งเน้นไปที่การชะลอความเสื่อมของขั้วประสาทตา และรักษาระดับลานสายตาของผู้ป่วยให้สามารถมองเห็นให้ได้ชัดเจนมากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยการรักษาประกอบไปด้วย 3 วิธี คือ
- การใช้ยาหยอดตา เพื่อลดความดันลูกตา ปัจจุบันมียาหลายชนิดและได้ผลค่อยข้างดีเป็นวิธีที่จักษุแพทย์ส่วนใหญ่เลือกใช้
- การใช้เลเซอร์ เพื่อเปิดทางระบายน้ำในตา หรือเพื่อลดการผลิตสารน้ำในลูกตา ควบคุมความดันตา
- การผ่าตัด เพื่อสร้างทางระบายน้ำใหม่
โดยจักษุแพทย์จะเป็นผู้แนะนำและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย โดยจะพิจารณาจากการดำเนินโรค อาการ และความรุนแรงของโรค
การป้องกันโรคต้อหิน
เพื่อเป็นการป้องกันโรคต้อหิน จักษุแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี เข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคต้อหินได้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคต้อหินได้ เช่น มีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคต้อหิน มีประวัติเคยได้รับการผ่าตัดดวงตามาก่อน หรือเคยมีโรคทางตามาก่อน มีประวัติอุบัติเหตุทางตา
หรือมีประวัติการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
โรคต้อหินหากตรวจพบได้เร็วก็จะสามารถควบคุมอาการไม่ให้ถึงระดับที่รุนแรงและป้องกันไม่ให้
อาการหนักถึงขั้นตาบอดถาวร
สรุป
โรคต้อหินนับว่าโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว โดยผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียลานสายตาจากบริเวณรอบนอกเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว ตาเบลอ มองเห็นภาพไม่ชัด และหากปล่อยไว้จนอาการรุนแรง จะทำให้ตาบอดถาวรในที่สุด
การตรวจพบและได้รับการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจะเป็นการควบคุมอาการป่วยที่ดีที่สุด เนื่องจากโรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นหากตรวจพบและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว จะสามารถรักษาลานสายตาให้เสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีกว่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการรุนแรง