โรคไตและโรคหัวใจเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (NCD) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยทั้งสองโรคนี้มักจะถูกพูดถึงในลักษณะที่แยกกัน แต่เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าทั้งสองโรคมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงเพราะว่ามีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน แต่โรคหนึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่ออีกโรคหนึ่งได้อีกด้วย
โรคหัวใจ
โรคหัวใจเป็นกลุ่มของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจ ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ การนำไฟฟ้าของหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โรคหัวใจแบ่งออกได้เป็นหลายโรค แต่ละโรคมีสาเหตุและอาการแสดงที่แตกต่างกัน โรคหัวใจที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคเส้นเลือดแข็งตัว โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย ซึ่งผู้ป่วยโรคหัวใจมักมีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจเร็ว ใจสั่น หน้ามืด วูบ หมดสติ หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องต่อไป
โรคไต
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด และควบคุมสมดุลของของเหลวและเกลือแร่ในร่างกาย เมื่อไตทำงานผิดปกติจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ภาวะน้ำเกิน ภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ และภาวะเลือดจาง
โรคไตสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อาการของโรคไตเรื้อรังมักค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่สังเกตเห็นจนกระทั่งโรคพัฒนาไปถึงระยะรุนแรง เกิดเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นภาวะที่ซับซ้อนและมักไม่หายขาด
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไตเรื้อรัง การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจะสามารถรักษาและป้องกันไม่ให้โรครุนแรงได้
ความสัมพันธ์ระหว่างหัวใจและไต
หัวใจและไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสมดุลของระบบไหลเวียนของร่างกาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองอวัยวะนี้มีความซับซ้อนและส่งผลต่อกันและกัน โดยสามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ดังนี้
- หัวใจสูบฉีดเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงไต: หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย รวมถึงไต เลือดที่ส่งไปเลี้ยงไตจะนำออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของไต
- ไตกรองของเสียออกจากเลือด: ไตทำหน้าที่กรองของเสียและสารพิษออกจากเลือด โดยขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
- ไตควบคุมความดันเลือด: ไตช่วยควบคุมความดันเลือด โดยทำหน้าที่รักษาสมดุลของเกลือแร่และน้ำในร่างกาย
- ไตผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง: ไตผลิตฮอร์โมนอีริโทรโปอีติน (erythropoietin) ซึ่งจะไปกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง
- ไตควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด: ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ไตและหัวใจทำงานเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกัน หากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทำงานผิดปกติไป จะส่งผลต่ออีกอวัยวะหนึ่งด้วย เช่น
- ในผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเรื้อรัง การทำงานของหัวใจเสียไป สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ก็จะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติ เกิดเป็นโรคไตเรื้อรังตามมาได้
- ในผู้ป่วยโรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง ทำให้ขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกายได้น้อยลง และของเสียเหล่านี้จะสะสมในเลือด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของหัวใจ และทำเกิดเป็นโรคหัวใจตามมาได้
จะเห็นได้ว่าระหว่างการทำงานของหัวใจและไตมีความเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นไม่ว่าความผิดปกติจะเกิดขึ้นที่ระบบใด ก็อาจจะผลกระทบต่ออีกระบบได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคไต
แม้ว่าทั้งสองอวัยวะจะมีหน้าที่การทำงานที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งโรคหัวใจและโรคไตมีความเสี่ยงของโรคที่คล้ายกัน ได้แก่
- หลอดเลือดที่เสียความยืดหยุ่น หรือหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis) โรคหัวใจและโรคไต มักเกิดจากการแข็งตัวของหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการที่มีการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ภาวะนี้ทำให้หลอดเลือดตีบ เลือดจึงไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ น้อยลง ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ และไต นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
- โรคความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพราะต้องบีบตัวเพื่อสูบฉีดให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะอื่นๆในร่างกายโดยสู้กับความดันโลหิตที่สูงกว่าปกติ ความดันโลหิตสูงยังส่งผลต่อไต โดยทำให้ความดันในหลอดเลือดไตสูงขึ้น ผนังหลอดเลือดฝอยภายในไตอักเสบ และท่อไตเกิดพังผืด ทำให้ไตทำงานไม่ปกติ ไม่สามารถควบคุมน้ำและเกลือแร่ได้ ยิ่งทำให้ภาวะความดันโลหิตสูงแย่ลง และส่งผลวนเวียนกับไตและหัวใจต่อเนื่องเป็นวัฏจักร
- โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด และหลอดเลือดทั่วร่างกายแข็งตัวรวมถึงหลอดเลือดในไต นผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคไตมากกว่าคนทั่วไป
- ไขมันในเลือดสูง คอเลสเตอรอลที่สูงจะสะสมในหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และส่งผลเสียต่อไตด้วย
- โรคอ้วน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคไต นอกจากนี้โรคอ้วนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงของการเกิดโรคไตเรื้อรังผ่านกระบวนการอักเสบของร่างกาย
- การสูบบุหรี่ บุหรี่มีผลเสียกับหลอดเลือดทั่วร่างกายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็งตัว เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคไต
การหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยป้องกันโรคไตและหัวใจได้
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ
การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่มีโรคไตและโรคหัวใจเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองโรคนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดและสามารถส่งผลกระทบต่อกันได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนื้อสัตว์แดงติดมัน และเน้นอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจ
- การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา
- วัดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลอยู่เสมอ
สำหรับผู้ป่วยโรคไต
- จำกัดปริมาณโซเดียม (เกลือ) โปรตีน และโพแทสเซียมในอาหาร ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการทำงานของไต
- รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
- การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในปกติ มีความสำคัญสำหรับผู้เบาหวาน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคไต
- รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติเพื่อป้องกันความเสียหายต่อไต
- การหลีกเลี่ยงสารพิษและยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งอาจทำให้การทำงานของไตเสียหาย
การป้องกันโรคหัวใจและโรคไต
- เน้นรับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และโซเดียมสูง
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (moderate intensity exercise)
- รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
- งดสูบบุหรี่
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- จัดการความเครียด
- นอนหลับให้เพียงพอ
- ควรตรวจคัดกรองโรคไต ภาวะความดันโลหิตสูง รวมถึงการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
สรุป
โรคหัวใจและโรคไตมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน โดยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่ทั้งสองโรคนี้ได้ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจวัดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลเป็นประจำ สำหรับผู้มีเบาหวานควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากทั้งโรคไตและโรคหัวใจได้