Day: May 10, 2019
แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง
แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ผู้ป่วยตับแข็งอาจต้องเลี่ยงเกลือ โดยเฉพาะในรายที่บวมน้ำ ทั้งนี้ควรมีการกินอาหารให้เพียงพอ และสะอาดด้วย ควรทานอาหารที่สุกสะอาด ไม่ทิ้งค้าง แม้ทำใหม่ก็ตาม ไม่กินของหมักดอง ไม่กินเหล้า ยาดองเหล้า อย่ากินยาที่ไม่แน่ใจว่ามีผลต่อตับหรือไม่ ขี้เหล็ก ควรทานในลักษณะแกงที่ทำสุกสะอาด ไม่ควรทานขี้เหล็กในรูปแบบอื่น เห็ดบางอย่างมีพิษ ควรทานเฉพาะเห็ดที่คนทั่วไปทาน รู้จักกันดี ไม่ควรลองอาหารแปลก ๆ เพราะอาจมีพิษต่อตับ ไม่ควรทาน พริกป่น ถั่วป่น ข้าวโพดแห้งที่ทิ้งค้าง เพราะอาจมีเชื้อราอัลฟ้าท๊อกซิน ซึ่งเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้ การให้วิตามิน สารลดการทำลายตัวเอง ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) และอาหารเสริมอื่น ยังไม่เป็นที่ยอมรับ บ้างแนะนำให้วิตามินอีเสริมในผู้ป่วย ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบซี ( hepatitis C ) กรณีเคยมีอาการทางสมอง เช่น สับสน มึนงง มือสั่น พูดเพ้อ แล้วแพทย์บอกว่ามีอาการทางสมองจากตับ ต้องมีข้อปฏิบัติตัวเพิ่มจากที่แนะนำด้านบนดังนี้ 1. ควรทานโปรตีนที่สะอาดไม่มีพิษต่อตับโดยควรเลือกทานโปรตีนจากพืช มากกว่าจากสัตว์ เช่น ถั่ว เต้าหู้ เห็ด บางช่วงอาจต้องถึงกับงดโปรตีนทุกชนิด ขึ้นกับแพทย์แนะนำให้ทำอย่างไรครับ 2. ควรเลี่ยงการกินเนื้อทุกชนิด ไม่ว่าเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่มาก ๆ รวมทั้งเครื่องในมาก ๆ ไม่ควรทานเลือดหมู 3. ถ้ามีถ่ายดำ หรือ ถ่ายเป็นเลือด ให้ปรึกษาแพทย์ด่วน 4. ระวังอย่าให้ท้องผูกควรถ่ายให้ได้วันละครั้ง บางรายอาจถึง 3-4 ครั้ง แล้วแต่แพทย์สั่ง กรณีไม่ถ่ายให้ทานยาระบายที่แพทย์สั่งให้ถ่ายทันที 5. กรณีท้องเสีย ต้องรีบรักษา เช่นกัน 6. งดยาที่ทำให้ง่วงนอนทุกอย่าง รวมทั้งยานอนหลับ หรือ ยากลุ่มอาการซึมเศร้า 7. เลี่ยงการอดหลับอดนอน เลี่ยงความเครียด 8. ห้ามขาดยา และ มาตามแพทย์นัดทุกครั้ง 9. กรณีมีไข้ เป็นหวัด ปัสสาวะบ่อยหรือแสบขัด หอบเหนื่อย ขาบวม ตัวเหลืองตาเหลือง หรือ เริ่มมีอาการทางสมองใด ๆ แม้เพียงเล็กน้อยอาการใดอาการหนึ่งก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว 10. ระวังอย่าป่วยติดเชื้อ ทานอาหารสะอาด ระวังไข้หวัด ล้างมือบ่อย ๆ 11. การกินนมเปรี้ยวที่มีเชื้อ Lactobacillus อาจช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่แพ้นม หรือ แพทย์อนุญาต นะครับ การออกกำลังกาย โดยทั่วไปปลอดภัยในผู้ป่วยตับแข็ง แต่ในรายที่เป็นระยะท้ายอาจไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในเส้นเลือดขอดในท้อง ( variceal bleeding ) การเปลี่ยนตับ LIVER TRANSPLANTATION – ตามที่กล่าวด้านบน การเปลี่ยนตับใหม่ จากผู้ป่วยที่เสียชีวิต หรือ มีอาการสมองรุนแรงใกล้เสียชีวิต (ปัจจุบันเริ่มมีรายงานบริจาคตับครึ่งหนึ่งให้กันด้วย แต่ยังไม่เป็นวิธีมาตรฐาน) ผลการเปลี่ยนตับเริ่มดีขึ้นมากในต่างประเทศถึง 80 % เลยทีเดียว และอายุยืนยาวมากกว่า 5 ปีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับโอกาสเสียชีวิตในโรคตับแข็งระยะท้าย ๆ จากติดเชื้อ โรคสมองบ่อย ๆ และการมีน้ำในท้องรักษายาก ขึ้นกับสาเหตุด้วย เช่น ไวรัสซี เหล้า อาจมีอาการต่าง ๆ ดีขึ้นหลังการรักษา ไม่ต้องเปลี่ยนตับก็อาจดีขึ้นได้, ในเมืองไทยผลการเปลี่ยนตับได้ผลดีพอควร รอการรายงานสรุปอยู่
สารกัมมันตรังสีกับการกินไอโอดีน
เป็นประเด็นที่น่าสนใจอยู่ในตอนนี้สำหรับกรณีที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นมีการระเบิดและกลัวกันว่าจะเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี โดยประเทศญี่ปุ่นได้แจกจ่ายไอโอดีนให้แก่ประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง …หลายคนเลยสงสัย ว่าไอโอดีนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร???… ในร่างกายของคนเราจะมีต่อมไทรอยด์ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารไอโอดีน ซึ่งโดยปกติเราจะได้รับไอโอดีนจากเกลือปรุงอาหาร อาหารทะเลหรือสาหร่ายทะเล ซึ่งไอโอดีนที่เราได้รับกันมีชื่อทางเคมีว่าโปแตสเซียม ไอโอไดด์ หรือ KI ทีนี้ปัญหาก็คือ สารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมานั้นจะมี ไอโอดีน-131 และ ซีเซียม-137 ปะปนอยู่ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ต่อมไทรอยด์ก็จะทำการดูดซึมเช่นเดียวกัน เนื่องจากต่อมไทรอยด์ไม่มีระบบตรวจสอบว่า นี่คือไอโอดีนที่ดีหรือๆไม่ดี +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แล้วถ้าเรากิน KI เข้าไปก่อนล่ะ ? ร่างกายก็ยังรับไอโอดีน-131 เข้าไปอยู่ดี เพียงแต่ต่อมไทรอยด์จะไม่ดูดซึมเข้าไป…เพราะมันเต็มแล้ว เปรียบเทียบต่อมไทรอยด์เป็นคลังเก็บสินค้า เมื่อมีสินค้าล็อตแรกเข้าไป จนเต็ม ก็ไม่สามารถเก็บสินค้าล็อตหลังได้อีก หรืออาจจะแทรกเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย จึงเป็นเหตุผลให้เราต้องกินไอโอดีนที่ดีไว้ก่อน เพื่อให้เจ้าตัวร้ายที่มาทีหลังไม่มีที่อยู่ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แล้วเราจะต้องกินบ่อยแค่ไหน? โดยปกติร่างกายต้องการไอโอดีนปกติหรือ KI ในปริมาณ 150 ไมโครกรัมต่อวัน ดังนั้น ไม่ว่าปริมาณสารจะรั่วไหลมากแค่ไหน เราก็ควรจะกินไอโอดีนแค่วันละหนึ่งเม็ดก็พอ … อย่าลืมนะว่าเราได้รับสารไอโอดีนจากอาหารอื่นๆที่กินด้วย แล้วก็อย่าคิดว่ากินไอโอดีนมากๆจะดี… การได้รับไอโอดีนปริมาณสูงเป็นเวลาติดต่อกันก่อให้เกิดอันตรายได้ แทนที่จะช่วยเรื่องคอหอยพอก คุณอาจเป็นโรคคอพอกเป็นพิษโดยไม่รู้ตัว มีผลวิจัยออกมาว่า เด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ที่เมื่อรับสารกัมมันตรังสีเข้าไปแล้วจะกลาย เป็นมะเร็งไทรอยด์ โดยเฉพาะเด็กทารก ฉะนั้นถ้ามีไอโอดีนหนึ่งเม็ด คุณก็ควรยกให้เด็กคนนั้นไปเพราะเขาจำเป็นมากกว่า ยิ่งคุณเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่ ต่อมไทรอยด์ของคุณก็จะแข็งแรงและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยลง ฉะนั้นขอมาร์คไว้สามดอกจัน *** ว่าให้กินกรณีที่ฉุกเฉินจริง อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจริงๆ และไม่มีทางเลือกจริงๆ คงไม่มีใครอยากให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายหรอกใช่ไหมคะ แม้สิ่งนั้นเราจะเรียกมันว่า ‘ยา’ ก็ตาม และอย่าลืมว่าไอโอดีนที่กินเข้าไปไม่ใช่ยาวิเศษ มันอาจป้องกันโรคมะเร็งที่ต่อมไทรอยด์จากกัมมันตรังสีได้ แต่ไม่ได้ป้องกันคุณจากมะเร็งอื่น ก็สารกัมมันตรังสีที่ออกมาไม่ได้มีแต่ไอโอดีนสักหน่อย เพราะฉะนั้นทางที่ดี พยายามอย่าสัมผัสกับสารพิษเป็นดีที่สุด หรือถ้าสัมผัสไปก็อย่าลืมรีบกลับมาล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด แต่อย่าเพิ่งตกใจไป!! นี่เป็นแค่เรื่องทางทฤษฎีที่ควรรู้ไว้ แต่โอกาสที่สารกัมมันตรังสีจะลมเพลมพัดจากญี่ปุ่นมาจนถึงไทยนั้นน้อยมาก…. .-
การทำหมันแบบเจาะ
การทำหมันเจาะ นายแพทย์สุธี อุ้มปรีชา การทำผ่าตัดหมันชาย (Vasectomy) เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรโดยการตัดและผูกท่ออสุจิ 2 ข้าง โอกาสล้มเหลวพบได้ 1 ใน 2,000 ราย หลังการทำยังมีการหลั่งน้ำอสุจิ, การแข็งตัวของอวัยวะเพศ และความต้องการทางเพศเป็นปกติ ปัจจุบันมีการทำหมันแบบเจาะ แผลเล็กประมาณ 0.5 ซ.ม. ใช้เวลาในการทำผ่าตัด 15-20 นาที ทำโดยการฉีดยาชาบริเวณถุงอัณฑะแล้วใช้เครื่องมือการทำหมันเจาะจับท่ออสุจิขึ้นมาตัดและผูก ทำสร็จสามารถกลับบ้านได้เลย เพียง 1-2 วันแผลก็จะหายเป็นปกติ รูปแสดงเครื่องมือการทำหมันเจาะ รูปแสดงเครื่องมือการทำหมันเจาะ ด้านซ้ายใช้สำหรับแหวกผิหนังและเนื้อเยื่อรอบท่ออสุจิ ด้านขวาใช้สำหรับจับท่ออสุจิขึ้นมาตัดและผูก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก คำถาม จะป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่นติดยาบ้าได้อย่างไรคะ มีลูกชายอายุ 15 ปี กำลังต่อต้านคุณพ่อคุณแม่มาก ไม่เชื่อฟังเลยค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) ผมรู้สึกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นในยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสารเสพย์ติดโดยเฉพาะยาบ้า จากสถิติพบว่าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีปัญหาทางจิตใจ บุคลิกภาพ การปรับตัว ครอบครัว และสังคม ที่เลือกสารเสพย์ติดเป็นทางออกในการแก้ปัญหา ประกอบกับวัยรุ่นนั้นโตแต่ตัว แต่ใจยังเป็นเด็กอยู่ ขาดความรู้ประสบการณ์และทักษะชีวิต ต่อต้านพ่อแม่ เชื่อฟังกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่มิใช่คอยจับผิด ตั้งกฎเกณฑ์โดยไม่มีเหตุผล ควรใกล้ชิดสนิทสนม ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของยาเสพติด สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะดูขยันขันแข็งขึ้น ดูหนังสือดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าวกินปลา ผ่ายผอม หรือในทางตรงข้าม นอนหลับมากตื่นสาย ขาดความรับผิดชอบ ไม่ไปโรงเรียน ฯลฯ พ่อแม่ควรสอบถามข้อมูลจากครูที่โรงเรียน ผู้ปกครองของเพื่อนลูก ดูผลการเรียนความประพฤติ การคบเพื่อน ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่คาดหวังสูงจนต้องบังคับฝืนใจ มีเวลาสันทนาการเพื่อการผ่อนคลาย ออกกำลัง เล่นกีฬา นั่งสมาธิ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่เที่ยวกลางคืน หรือดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีเพศสัมพันธ์ พกเงินเท่าที่พอใช้ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก คอยให้คำปรึกษา & แนะนำวิธีจัดการกับอารมณ์ทางลบต่างๆ เช่น ความเครียด โกรธ เศร้า เบื่อเหงา ฯลฯ ชมเชยเมื่อลูกทำความดีแม้เป็นสิ่งเล็กน้อย ให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักจุดดีจุดด้อยของตัวเอง พ่อแม่หัดไว้วางใจปล่อยให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และทำด้วยตัวเอง แม้จะไม่ถูกใจพ่อแม่ 100% แต่ลูกก็เกิดการเรียนรู้พัฒนาด้วยตนเอง และกล้าที่จะเล่าถึงปัญหา แสดงความคิดเห็น ตอบรับ หรือปฏิเสธกับพ่อแม่ เพื่อน และบุคคลอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นเกราะป้องกันจากภายในของตัววัยรุ่นเองที่จะไม่เสพยาบ้า หรือสารเสพย์ติดอื่นใด
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ แพทย์หญิงพิชชา ปิ่นจันทร์ ความแตกต่างของอสุจิ X-sperm Y-sperm ตัวใหญ่กว่า ตัวเล็กกว่า แข็งแรงกว่า แข็งแรงน้อยกว่า เคลื่อนไหวช้ากว่า เคลื่อนไหวเร็วกว่า (จากการศึกษาของ Dr..Shettle) * (เป็นความเชื่อซึ่งอาจะไม่ถูกต้องนัก โดยความเชื่อนี้มาจากขนาดของโครโมโซม y ที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้คิดว่าน้ำหนักจะเบากว่า และเคลื่อนตัวได้เร็วกว่า) เรามีความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ซึ่งจะทำให้เราได้ลูกเพศชาย – หญิงตามที่ใจต้องการ ดังข้อมูลที่จะแสดงต่อไปนี้ แต่ไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า วิธีการต่างเหล่านั้นประสบความสำเร็จสักเท่าไร ขั้นที่ 1. “เตรียมพร้อม” เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพศหญิง เพศชาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและ อาหารที่มีปริมาณคาเฟอีน มากๆทั้งสามีและภรรยา สามีดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณ คาเฟอีนสูงๆ เช่น กาแฟ เป็ปซี่ 2-3 แก้วก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที อาหารที่ผู้หญิงควรรับประทานช่วงไข่ตก เพศหญิง เพศชาย อาหารที่มีแคลเซียมและ แมกนีเซียมสูงๆ เช่น ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์จาก ไอศกรีม แอปเปิ้ล สัปปะรด แครอท ลูกแพร องุ่น อาหารที่มีเกลือและโปแทสเซียม มากๆ เช่น อาหารที่มีเกลือมาก ปลาเค็ม ไส้กรอก มันฝรั่ง ถั่ว กล้วย เชอรี่ ส้ม แตงโม มะเขือเทศ กางเกงชั้นในชายก็มีความหมายนะ เพศหญิง เพศชาย ใส่กางเกงชั้นในที่พอดีตัว หรือค่อนข้างคับ ใส่กางเกงชั้นในที่ค่อนข้าง หลวม เช่น boxers อุณหภูมิร้อน-เย็น เพศหญิง เพศชาย พยายามทำให้ร้อนๆ เข้าไว้ เช่นอาบน้ำร้อน หรือ แช่น้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ พยายามให้เย็นเข้าไว้ อุณหภูมิห้องดีสำหรับY- sperm หลีกเลี่ยงการดำน้ำ การขับขี่ยานยนต์ที่มีความร้อน เตรียมช่องคลอด เพศหญิง เพศชาย สวนล้างช่องคลอดด้วย น้ำส้มสายชูกลั่น โดยใช้ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับ น้ำสะอาดครึ่งลิตร ก่อน มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง สวนล้างช่องคลอดด้วย ผงฟู (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) โดยใช้ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะในน้ำครึ่ง ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นที่ 2 : “ปฏิบัติ” เพศสัมพันธ์ เพศหญิง เพศชาย ต้องพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยๆ หรือทุกวันตั้งแต่ ประจำเดือนของฝ่ายหญิง หมด หยุดการมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 วันก่อนวันตกไข่ มีเพศสัมพันธ์เฉพาะวันไข่ตก เพียงวันเดียว หลังจากนั้น ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อีก ต้องใช้ถุงยางอนามัยหรือ หลั่งข้างนอกเท่านั้น ให้ศีรษะของผู้หญิงไปทิศเหนือ Orgasm เพศหญิง เพศชาย ผู้ชายควรถึงจุดสุดยอด ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมีอารมณ์ และถึงจุดสุดยอด และควรหลั่ง อสุจิไว้ตื้นๆภายในช่องคลอด ให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด ก่อน หรือพร้อมกับฝ่ายชาย โดยหลั่งน้ำอสุจิให้ลึก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลองพยายามด้วยวิธีเหล่านี้ก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณสนใจ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” วิธีต่างๆดังนี้ การฉีดเชื้อผสมเทียมร่วมกับการคัดอสุจิ การคัดเชื้อตามเพศที่ต้องการ ร่วมกับการฉีดเชื้อผสมเทียม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก็คือ โดยวิธีนี้มีโอกาสตั้งครรภ์ร้อยละ 10-15 และถ้าตั้งครรภ์ คุณมีโอกาสได้ได้บุตรที่มีเพศที่คุณต้องการประมาณร้อยละ 60 และแน่นอนคุณมีโอกาสได้เพศที่คุณไม่ต้องการร้อยละ 40 มีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 10,000 บาท การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนการการฝังตัว การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGD) โดยการดูดเซลล์ของตัวอ่อนออกมาตรวจ วิธีนี้เราจะทราบเพศของตัวอ่อนก่อนใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัวต่อไป วิธีนี้ถ้าคุณตั้งครรภ์คุณจะได้บุตรเพศที่คุณต้องการแน่นอน 100% แต่วิธีนี้มีราคาแพง ประมาณ 180,000-250,000 บาท โอกาสการตั้งครรภ์ขึ้นกับอายุของสตรี คุณภาพของตัวอ่อนและเยื่อบุโพรงมดลูก สิ่งที่ควรทราบ การคัดเพศบุตรโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว ยังมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยทางการแพทย์มีข้อบ่งชี้ เช่น โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง กลุ่มโรคที่ถ่ายทอดทางเพศ ที่จะถ่ายทอดไปยังบุตรชาย จำเป็นต้องทราบเพศของตัวอ่อนก่อน เพื่อเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศหญิงใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก ในทางปฏิบัติถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน ไม่แนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับ PGD เพื่อคัดเพศ
แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง
แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ผู้ป่วยตับแข็งอาจต้องเลี่ยงเกลือ โดยเฉพาะในรายที่บวมน้ำ ทั้งนี้ควรมีการกินอาหารให้เพียงพอ และสะอาดด้วย ควรทานอาหารที่สุกสะอาด ไม่ทิ้งค้าง แม้ทำใหม่ก็ตาม ไม่กินของหมักดอง ไม่กินเหล้า ยาดองเหล้า อย่ากินยาที่ไม่แน่ใจว่ามีผลต่อตับหรือไม่ ขี้เหล็ก ควรทานในลักษณะแกงที่ทำสุกสะอาด ไม่ควรทานขี้เหล็กในรูปแบบอื่น เห็ดบางอย่างมีพิษ ควรทานเฉพาะเห็ดที่คนทั่วไปทาน รู้จักกันดี ไม่ควรลองอาหารแปลก ๆ เพราะอาจมีพิษต่อตับ ไม่ควรทาน พริกป่น ถั่วป่น ข้าวโพดแห้งที่ทิ้งค้าง เพราะอาจมีเชื้อราอัลฟ้าท๊อกซิน ซึ่งเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้ การให้วิตามิน สารลดการทำลายตัวเอง ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) และอาหารเสริมอื่น ยังไม่เป็นที่ยอมรับ บ้างแนะนำให้วิตามินอีเสริมในผู้ป่วย ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบซี ( hepatitis C ) กรณีเคยมีอาการทางสมอง เช่น สับสน มึนงง มือสั่น พูดเพ้อ แล้วแพทย์บอกว่ามีอาการทางสมองจากตับ ต้องมีข้อปฏิบัติตัวเพิ่มจากที่แนะนำด้านบนดังนี้ 1. ควรทานโปรตีนที่สะอาดไม่มีพิษต่อตับโดยควรเลือกทานโปรตีนจากพืช มากกว่าจากสัตว์ เช่น ถั่ว เต้าหู้ เห็ด บางช่วงอาจต้องถึงกับงดโปรตีนทุกชนิด ขึ้นกับแพทย์แนะนำให้ทำอย่างไรครับ 2. ควรเลี่ยงการกินเนื้อทุกชนิด ไม่ว่าเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่มาก ๆ รวมทั้งเครื่องในมาก ๆ ไม่ควรทานเลือดหมู 3. ถ้ามีถ่ายดำ หรือ ถ่ายเป็นเลือด ให้ปรึกษาแพทย์ด่วน 4. ระวังอย่าให้ท้องผูกควรถ่ายให้ได้วันละครั้ง บางรายอาจถึง 3-4 ครั้ง แล้วแต่แพทย์สั่ง กรณีไม่ถ่ายให้ทานยาระบายที่แพทย์สั่งให้ถ่ายทันที 5. กรณีท้องเสีย ต้องรีบรักษา เช่นกัน 6. งดยาที่ทำให้ง่วงนอนทุกอย่าง รวมทั้งยานอนหลับ หรือ ยากลุ่มอาการซึมเศร้า 7. เลี่ยงการอดหลับอดนอน เลี่ยงความเครียด 8. ห้ามขาดยา และ มาตามแพทย์นัดทุกครั้ง 9. กรณีมีไข้ เป็นหวัด ปัสสาวะบ่อยหรือแสบขัด หอบเหนื่อย ขาบวม ตัวเหลืองตาเหลือง หรือ เริ่มมีอาการทางสมองใด ๆ แม้เพียงเล็กน้อยอาการใดอาการหนึ่งก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว 10. ระวังอย่าป่วยติดเชื้อ ทานอาหารสะอาด ระวังไข้หวัด ล้างมือบ่อย ๆ 11. การกินนมเปรี้ยวที่มีเชื้อ Lactobacillus อาจช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่แพ้นม หรือ แพทย์อนุญาต นะครับ การออกกำลังกาย โดยทั่วไปปลอดภัยในผู้ป่วยตับแข็ง แต่ในรายที่เป็นระยะท้ายอาจไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในเส้นเลือดขอดในท้อง ( variceal bleeding ) การเปลี่ยนตับ LIVER TRANSPLANTATION – ตามที่กล่าวด้านบน การเปลี่ยนตับใหม่ จากผู้ป่วยที่เสียชีวิต หรือ มีอาการสมองรุนแรงใกล้เสียชีวิต (ปัจจุบันเริ่มมีรายงานบริจาคตับครึ่งหนึ่งให้กันด้วย แต่ยังไม่เป็นวิธีมาตรฐาน) ผลการเปลี่ยนตับเริ่มดีขึ้นมากในต่างประเทศถึง 80 % เลยทีเดียว และอายุยืนยาวมากกว่า 5 ปีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับโอกาสเสียชีวิตในโรคตับแข็งระยะท้าย ๆ จากติดเชื้อ โรคสมองบ่อย ๆ และการมีน้ำในท้องรักษายาก ขึ้นกับสาเหตุด้วย เช่น ไวรัสซี เหล้า อาจมีอาการต่าง ๆ ดีขึ้นหลังการรักษา ไม่ต้องเปลี่ยนตับก็อาจดีขึ้นได้, ในเมืองไทยผลการเปลี่ยนตับได้ผลดีพอควร รอการรายงานสรุปอยู่
สารกัมมันตรังสีกับการกินไอโอดีน
เป็นประเด็นที่น่าสนใจอยู่ในตอนนี้สำหรับกรณีที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นมีการระเบิดและกลัวกันว่าจะเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี โดยประเทศญี่ปุ่นได้แจกจ่ายไอโอดีนให้แก่ประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง …หลายคนเลยสงสัย ว่าไอโอดีนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร???… ในร่างกายของคนเราจะมีต่อมไทรอยด์ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารไอโอดีน ซึ่งโดยปกติเราจะได้รับไอโอดีนจากเกลือปรุงอาหาร อาหารทะเลหรือสาหร่ายทะเล ซึ่งไอโอดีนที่เราได้รับกันมีชื่อทางเคมีว่าโปแตสเซียม ไอโอไดด์ หรือ KI ทีนี้ปัญหาก็คือ สารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมานั้นจะมี ไอโอดีน-131 และ ซีเซียม-137 ปะปนอยู่ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ต่อมไทรอยด์ก็จะทำการดูดซึมเช่นเดียวกัน เนื่องจากต่อมไทรอยด์ไม่มีระบบตรวจสอบว่า นี่คือไอโอดีนที่ดีหรือๆไม่ดี +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แล้วถ้าเรากิน KI เข้าไปก่อนล่ะ ? ร่างกายก็ยังรับไอโอดีน-131 เข้าไปอยู่ดี เพียงแต่ต่อมไทรอยด์จะไม่ดูดซึมเข้าไป…เพราะมันเต็มแล้ว เปรียบเทียบต่อมไทรอยด์เป็นคลังเก็บสินค้า เมื่อมีสินค้าล็อตแรกเข้าไป จนเต็ม ก็ไม่สามารถเก็บสินค้าล็อตหลังได้อีก หรืออาจจะแทรกเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย จึงเป็นเหตุผลให้เราต้องกินไอโอดีนที่ดีไว้ก่อน เพื่อให้เจ้าตัวร้ายที่มาทีหลังไม่มีที่อยู่ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ แล้วเราจะต้องกินบ่อยแค่ไหน? โดยปกติร่างกายต้องการไอโอดีนปกติหรือ KI ในปริมาณ 150 ไมโครกรัมต่อวัน ดังนั้น ไม่ว่าปริมาณสารจะรั่วไหลมากแค่ไหน เราก็ควรจะกินไอโอดีนแค่วันละหนึ่งเม็ดก็พอ … อย่าลืมนะว่าเราได้รับสารไอโอดีนจากอาหารอื่นๆที่กินด้วย แล้วก็อย่าคิดว่ากินไอโอดีนมากๆจะดี… การได้รับไอโอดีนปริมาณสูงเป็นเวลาติดต่อกันก่อให้เกิดอันตรายได้ แทนที่จะช่วยเรื่องคอหอยพอก คุณอาจเป็นโรคคอพอกเป็นพิษโดยไม่รู้ตัว มีผลวิจัยออกมาว่า เด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ที่เมื่อรับสารกัมมันตรังสีเข้าไปแล้วจะกลาย เป็นมะเร็งไทรอยด์ โดยเฉพาะเด็กทารก ฉะนั้นถ้ามีไอโอดีนหนึ่งเม็ด คุณก็ควรยกให้เด็กคนนั้นไปเพราะเขาจำเป็นมากกว่า ยิ่งคุณเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่ ต่อมไทรอยด์ของคุณก็จะแข็งแรงและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยลง ฉะนั้นขอมาร์คไว้สามดอกจัน *** ว่าให้กินกรณีที่ฉุกเฉินจริง อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจริงๆ และไม่มีทางเลือกจริงๆ คงไม่มีใครอยากให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายหรอกใช่ไหมคะ แม้สิ่งนั้นเราจะเรียกมันว่า ‘ยา’ ก็ตาม และอย่าลืมว่าไอโอดีนที่กินเข้าไปไม่ใช่ยาวิเศษ มันอาจป้องกันโรคมะเร็งที่ต่อมไทรอยด์จากกัมมันตรังสีได้ แต่ไม่ได้ป้องกันคุณจากมะเร็งอื่น ก็สารกัมมันตรังสีที่ออกมาไม่ได้มีแต่ไอโอดีนสักหน่อย เพราะฉะนั้นทางที่ดี พยายามอย่าสัมผัสกับสารพิษเป็นดีที่สุด หรือถ้าสัมผัสไปก็อย่าลืมรีบกลับมาล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด แต่อย่าเพิ่งตกใจไป!! นี่เป็นแค่เรื่องทางทฤษฎีที่ควรรู้ไว้ แต่โอกาสที่สารกัมมันตรังสีจะลมเพลมพัดจากญี่ปุ่นมาจนถึงไทยนั้นน้อยมาก…. .-
การทำหมันแบบเจาะ
การทำหมันเจาะ นายแพทย์สุธี อุ้มปรีชา การทำผ่าตัดหมันชาย (Vasectomy) เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรโดยการตัดและผูกท่ออสุจิ 2 ข้าง โอกาสล้มเหลวพบได้ 1 ใน 2,000 ราย หลังการทำยังมีการหลั่งน้ำอสุจิ, การแข็งตัวของอวัยวะเพศ และความต้องการทางเพศเป็นปกติ ปัจจุบันมีการทำหมันแบบเจาะ แผลเล็กประมาณ 0.5 ซ.ม. ใช้เวลาในการทำผ่าตัด 15-20 นาที ทำโดยการฉีดยาชาบริเวณถุงอัณฑะแล้วใช้เครื่องมือการทำหมันเจาะจับท่ออสุจิขึ้นมาตัดและผูก ทำสร็จสามารถกลับบ้านได้เลย เพียง 1-2 วันแผลก็จะหายเป็นปกติ รูปแสดงเครื่องมือการทำหมันเจาะ รูปแสดงเครื่องมือการทำหมันเจาะ ด้านซ้ายใช้สำหรับแหวกผิหนังและเนื้อเยื่อรอบท่ออสุจิ ด้านขวาใช้สำหรับจับท่ออสุจิขึ้นมาตัดและผูก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก คำถาม จะป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่นติดยาบ้าได้อย่างไรคะ มีลูกชายอายุ 15 ปี กำลังต่อต้านคุณพ่อคุณแม่มาก ไม่เชื่อฟังเลยค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) ผมรู้สึกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นในยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสารเสพย์ติดโดยเฉพาะยาบ้า จากสถิติพบว่าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีปัญหาทางจิตใจ บุคลิกภาพ การปรับตัว ครอบครัว และสังคม ที่เลือกสารเสพย์ติดเป็นทางออกในการแก้ปัญหา ประกอบกับวัยรุ่นนั้นโตแต่ตัว แต่ใจยังเป็นเด็กอยู่ ขาดความรู้ประสบการณ์และทักษะชีวิต ต่อต้านพ่อแม่ เชื่อฟังกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่มิใช่คอยจับผิด ตั้งกฎเกณฑ์โดยไม่มีเหตุผล ควรใกล้ชิดสนิทสนม ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของยาเสพติด สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะดูขยันขันแข็งขึ้น ดูหนังสือดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าวกินปลา ผ่ายผอม หรือในทางตรงข้าม นอนหลับมากตื่นสาย ขาดความรับผิดชอบ ไม่ไปโรงเรียน ฯลฯ พ่อแม่ควรสอบถามข้อมูลจากครูที่โรงเรียน ผู้ปกครองของเพื่อนลูก ดูผลการเรียนความประพฤติ การคบเพื่อน ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่คาดหวังสูงจนต้องบังคับฝืนใจ มีเวลาสันทนาการเพื่อการผ่อนคลาย ออกกำลัง เล่นกีฬา นั่งสมาธิ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่เที่ยวกลางคืน หรือดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีเพศสัมพันธ์ พกเงินเท่าที่พอใช้ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก คอยให้คำปรึกษา & แนะนำวิธีจัดการกับอารมณ์ทางลบต่างๆ เช่น ความเครียด โกรธ เศร้า เบื่อเหงา ฯลฯ ชมเชยเมื่อลูกทำความดีแม้เป็นสิ่งเล็กน้อย ให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักจุดดีจุดด้อยของตัวเอง พ่อแม่หัดไว้วางใจปล่อยให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และทำด้วยตัวเอง แม้จะไม่ถูกใจพ่อแม่ 100% แต่ลูกก็เกิดการเรียนรู้พัฒนาด้วยตนเอง และกล้าที่จะเล่าถึงปัญหา แสดงความคิดเห็น ตอบรับ หรือปฏิเสธกับพ่อแม่ เพื่อน และบุคคลอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นเกราะป้องกันจากภายในของตัววัยรุ่นเองที่จะไม่เสพยาบ้า หรือสารเสพย์ติดอื่นใด
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ แพทย์หญิงพิชชา ปิ่นจันทร์ ความแตกต่างของอสุจิ X-sperm Y-sperm ตัวใหญ่กว่า ตัวเล็กกว่า แข็งแรงกว่า แข็งแรงน้อยกว่า เคลื่อนไหวช้ากว่า เคลื่อนไหวเร็วกว่า (จากการศึกษาของ Dr..Shettle) * (เป็นความเชื่อซึ่งอาจะไม่ถูกต้องนัก โดยความเชื่อนี้มาจากขนาดของโครโมโซม y ที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้คิดว่าน้ำหนักจะเบากว่า และเคลื่อนตัวได้เร็วกว่า) เรามีความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ซึ่งจะทำให้เราได้ลูกเพศชาย – หญิงตามที่ใจต้องการ ดังข้อมูลที่จะแสดงต่อไปนี้ แต่ไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า วิธีการต่างเหล่านั้นประสบความสำเร็จสักเท่าไร ขั้นที่ 1. “เตรียมพร้อม” เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพศหญิง เพศชาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและ อาหารที่มีปริมาณคาเฟอีน มากๆทั้งสามีและภรรยา สามีดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณ คาเฟอีนสูงๆ เช่น กาแฟ เป็ปซี่ 2-3 แก้วก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที อาหารที่ผู้หญิงควรรับประทานช่วงไข่ตก เพศหญิง เพศชาย อาหารที่มีแคลเซียมและ แมกนีเซียมสูงๆ เช่น ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์จาก ไอศกรีม แอปเปิ้ล สัปปะรด แครอท ลูกแพร องุ่น อาหารที่มีเกลือและโปแทสเซียม มากๆ เช่น อาหารที่มีเกลือมาก ปลาเค็ม ไส้กรอก มันฝรั่ง ถั่ว กล้วย เชอรี่ ส้ม แตงโม มะเขือเทศ กางเกงชั้นในชายก็มีความหมายนะ เพศหญิง เพศชาย ใส่กางเกงชั้นในที่พอดีตัว หรือค่อนข้างคับ ใส่กางเกงชั้นในที่ค่อนข้าง หลวม เช่น boxers อุณหภูมิร้อน-เย็น เพศหญิง เพศชาย พยายามทำให้ร้อนๆ เข้าไว้ เช่นอาบน้ำร้อน หรือ แช่น้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ พยายามให้เย็นเข้าไว้ อุณหภูมิห้องดีสำหรับY- sperm หลีกเลี่ยงการดำน้ำ การขับขี่ยานยนต์ที่มีความร้อน เตรียมช่องคลอด เพศหญิง เพศชาย สวนล้างช่องคลอดด้วย น้ำส้มสายชูกลั่น โดยใช้ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับ น้ำสะอาดครึ่งลิตร ก่อน มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง สวนล้างช่องคลอดด้วย ผงฟู (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) โดยใช้ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะในน้ำครึ่ง ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นที่ 2 : “ปฏิบัติ” เพศสัมพันธ์ เพศหญิง เพศชาย ต้องพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยๆ หรือทุกวันตั้งแต่ ประจำเดือนของฝ่ายหญิง หมด หยุดการมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 วันก่อนวันตกไข่ มีเพศสัมพันธ์เฉพาะวันไข่ตก เพียงวันเดียว หลังจากนั้น ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อีก ต้องใช้ถุงยางอนามัยหรือ หลั่งข้างนอกเท่านั้น ให้ศีรษะของผู้หญิงไปทิศเหนือ Orgasm เพศหญิง เพศชาย ผู้ชายควรถึงจุดสุดยอด ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมีอารมณ์ และถึงจุดสุดยอด และควรหลั่ง อสุจิไว้ตื้นๆภายในช่องคลอด ให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด ก่อน หรือพร้อมกับฝ่ายชาย โดยหลั่งน้ำอสุจิให้ลึก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลองพยายามด้วยวิธีเหล่านี้ก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณสนใจ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” วิธีต่างๆดังนี้ การฉีดเชื้อผสมเทียมร่วมกับการคัดอสุจิ การคัดเชื้อตามเพศที่ต้องการ ร่วมกับการฉีดเชื้อผสมเทียม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก็คือ โดยวิธีนี้มีโอกาสตั้งครรภ์ร้อยละ 10-15 และถ้าตั้งครรภ์ คุณมีโอกาสได้ได้บุตรที่มีเพศที่คุณต้องการประมาณร้อยละ 60 และแน่นอนคุณมีโอกาสได้เพศที่คุณไม่ต้องการร้อยละ 40 มีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 10,000 บาท การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนการการฝังตัว การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGD) โดยการดูดเซลล์ของตัวอ่อนออกมาตรวจ วิธีนี้เราจะทราบเพศของตัวอ่อนก่อนใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัวต่อไป วิธีนี้ถ้าคุณตั้งครรภ์คุณจะได้บุตรเพศที่คุณต้องการแน่นอน 100% แต่วิธีนี้มีราคาแพง ประมาณ 180,000-250,000 บาท โอกาสการตั้งครรภ์ขึ้นกับอายุของสตรี คุณภาพของตัวอ่อนและเยื่อบุโพรงมดลูก สิ่งที่ควรทราบ การคัดเพศบุตรโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว ยังมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยทางการแพทย์มีข้อบ่งชี้ เช่น โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง กลุ่มโรคที่ถ่ายทอดทางเพศ ที่จะถ่ายทอดไปยังบุตรชาย จำเป็นต้องทราบเพศของตัวอ่อนก่อน เพื่อเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศหญิงใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก ในทางปฏิบัติถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน ไม่แนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับ PGD เพื่อคัดเพศ