เส้นเลือดในสมองเปรียบเสมือนท่อประปา ที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง โดยเส้นเลือดเป็นของคนคนเดียวกันทั้งร่างกาย ดังนั้นหากหลอดเลือดเสื่อมก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้ ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงจึงมีทั้งที่แก้ไขได้และ แก้ไขไม่ได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ อายุ เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของเส้นเลือดก็จะตามมาในแต่ละบุคคล ยิ่งอายุมากขึ้น หลอดเลือดในสมองก็จะเสื่อมมากขึ้น เหมือนท่อประปาในบ้านที่ใช้นานขึ้น ก็จะมีโอกาสที่จะมีตะกอนมาเกาะมากกว่าคนอายุน้อย เพศชาย มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคหลอดเลือดในสมองแตกมาก่อน ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เมื่อมีโรคความดันโลหิตสูงควรพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันและรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆก็ตาม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงจะไปทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ง่าย และทำให้เส้นเลือดในสมองมีความเปราะมากขึ้น โรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation or atrial flutter) มักจะทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจและลิ่มเลือดในหัวใจอาจจะลอยไปอุดเส้นเลือดในสมองได้ การแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักจะทำได้โดยการจี้ไฟฟ้าที่หัวใจ หรือหากไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด อย่างต่อเนื่อง ไขมันในเลือดสูง ไขมันจะเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดมีการแข็งตัวและมักจะเกาะตัวกันเป็นตะกอนในหลอดเลือด และทำให้หลอดเลือดในสมองตีบได้ การสูบบุหรี่ บุหรี่จะเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญที่จะทำให้หลอดเลือดในสมองเปราะและเกิดมีตะกอนได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองตีบได้ง่่ายกว่าคนที่ไม่สูบ ทั้งนี้รวมถึงบุคคลที่ใกล้ชิดคคนที่สูบบุหรี่จัดและได้รับควันบุหรี่ตลอดเวลาด้วย ดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองแตก ได้ง่ายกว่าคนทั่่วไป การใช้สารเสพติดบางชนิดได้แก่ แอมเฟตามีน โคเคน ผู้ที่ใช้สารเสพติดเหล่านี้มักจะเกิดเลือดออกในสมองง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากสารเสพติดเหล่านี้จะไปทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง หรือในผู้ป่วยบางรายอาจจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองตีบสามารถรักษาให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ โดยที่ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์หลังมีอาการภายในเวลา 4ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV – rtPA alteplase ) โดยยาจะสามารถไปละลายลิ่มเลือดที่ไปอุดตันสมองได้ 30-50% ของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ หรือมีความพิการน้อยมาก หลังจากการให้ยา ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก( ICU) หรือหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke unit ) เพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดโดยบุคลากรทางการแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่งโมง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการมานานกว่า สี่ชั่วโมงครึ่งจะมีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกในสมองได้ถ้าให้ยา มากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้ยา โดยความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะมีเลือดออกในสมองในกรณีที่มาภายในเวลาสี่ชั่วโมงครึ่งและได้รับยาละลายลิ่มเลือดมี 6% จากกการทดลอง ปัจจุบันนี้ยังมีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันที่ยังอยู่ในการทดลองหลายแบบ เช่นการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดดำคู่กับการให้ยาทางหลอดเลือดแดง การใช้เครื่องมีอไปดึงหรือลากลิ่มเลือดที่อุดตันโดยตรง หรือการให้ยาชนิดอื่นได้แก่ยา Desmoteplase โรคหลอดเลือดในสมองแตก หรือเลือดออกในสมอง การรักษาภาวะเส้นเลือดในสมองแตกในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดในทันทีหากผู้ป่วยมีเลือดออกในสมองมากจนกระทั่งมีภาวะความดันในกระโหลกสูง หรือถ้าผู้ป่วยมีเลือดออกในปริมาณน้อยอาจไม่จำเป็นที่จะต้องผ่าตัดเพียงแค่รักษาแบบประคับประคองได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลเป็นผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ในกรณีที่มีเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมองจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง ( Subarachnoid hemorrhage from rupture aneurysm ) ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในทันทีเพื่อลดการแตกซ้ำของหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ 1 การป้องกันก่อนการเป็นโรค 2 การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว การป้องกันก่อนการเป็นโรค 1.) ตรวจวัดความดันโลหิต อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบว่ามีความดันโลหิตที่มากกว่า 140/80 mmHg ควรพบแพทย์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการลดอาหารเค็ม และรับประทานยาลดความดันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดรับประทานยาลดความดันเอง โดยแพทย์ไม่ได้สั่งงด เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เป็นแล้วมักจะเป็นตลอดชีวิต และไม่ค่อยแสดงอาการ 2.) ตรวจร่างกายทางด้านหัวใจว่ามีความผิดปกติของการเต้นของหัวใจหรือไม่ 3.) หยุดสูบบุหรี่ 4.) ลดน้ำหนัก ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน 5.) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อย่างน้อย 10-20 ครั้ง ต่อนาที และ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่่วโมง 6.) ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด 7.) งดการดื่มสุรา การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณีที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว 1.) การรักษาจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงมี่สามารถปรับได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว 2.) การป้องกันการเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองตีบโดยการให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เกร็ดเลือดเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด จะถูกกระตุ้นโดยการที่เกิดการฉีกขาด หรือการอักเสบของเส้นเลือด และสามารถ อุดหลอดเลือดได้ ทำให้เกิดเป็นตะกอนในเส้นเลือด ยาต้านเกร็ดเลือดจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีเกิดการจับกันของเกร็ดเลือด เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ที่จะไปเลี้ยงสมอง ยาต้านเกร็ดเลือดในปัจจุบันมีหลายชนิดเช่น Aspirin, cilostazol,clopidogrel,triflusal, arpirin plus dipyridamole,Ticagilor ซึ่งยาต้านเกร็ดเลือดแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ต้านเกร็ดเลือดด้วยกลไกที่ต่างกัน บางครั้งหากผู้ป่วยมีอาการเป็นซ้ำๆ จากการอุดตันของเส้นเลือดสมอง ผู้ป่วยอาจจะมีความจำป็นที่จะต้องรับประทานยาต้านเกร็ดเลือดหลายชนิดร่วมกัน แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกผิดปกติในบริเวณต่างๆมากขึ้น เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือเลือดออกในสมอง