Knowledge
Solve doubts, increase knowledge to take care of the health of yourself and your family
ผิวหนังในผู้หญิงแต่ละวัย และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ผิวหนังในผู้หญิงแต่ละวัย และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในแต่ละช่วงชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ผิวหนังก็เช่นกัน โดยการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบางวัยก็จะก่อให้เกิดปัญหาผิวหนังต่างๆตามมา เช่น การเป็นสิวในวัยรุ่น เราจึงควรต้องทำความรู้จักกับผิวหนังและเกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย เพื่อเตรียมตัวดูแลผิวหนังให้สดใส สมวัย เริ่มที่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เป็นช่วงที่ผิวหนัง มีการเปลี่ยนแปลงมากด้านการเจริญเติบโต คือ มีการเพิ่มขึ้นของผิวหนังตามขนาดน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วพื้นที่ผิวของผิวหนังจะขยายประมาณ 7 เท่า นับตั้งแต่แรกเกิดจนโตเต็มวัย อีกทั้งผิวหนังเปลี่ยนแปลงจากอิทธิพลของฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง โดยฮอร์โมนที่สำคัญ คือ ฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) และฮอร์โมนเพศ *วัยเด็ก ผิวหนังมักไม่ค่อยมีปัญหา นอกจากมีการผิดปกติของผิวหนังที่ได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรมอยู่แล้ว จนเข้าสู่วัยเรียน เมื่อเข้าโรงเรียนจะมีโอกาสเกิดผิวหนังอักเสบติดเชื้อต่างๆได้ง่าย เช่น
วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้อง
วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้อง ยาก่อนอาหาร ให้รับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง – 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ดี หากลืมรับประทานยาในช่วงเวลาดังกล่าว ให้รับประทานยาเมื่อผ่านอาหารมื้อนั้นไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับยาที่ใช้รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน จะออกฤทธิ์ไปเพิ่มการเคลื่อนไหว ของกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งควรรับประทานก่อนอาหารเพื่อลดการคลื่นไส้อาเจียน ยาหลังอาหาร ให้รับประทานยาหลังอาหารประมาณ 15 -30 นาที ยาที่ให้รับประทานหลังอาหารมักเป็นยาทั่วๆไป ซึ่งอาหารที่ทานเข้าไปจะไม่รบกวนการดูดซึมของยาและอาจเพิ่มการดูดซึมของยาบางชนิดได้ ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที สามารถรับประทานยาหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จทันทีหรือรับประทานยาไปพร้อมๆกับมื้ออาหารได้ เพราะยาประเภทนี้มักเป็นยาที่ออกฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เมื่อรับประทานขณะท้องว่าง ดังนั้นจึงต้องทานอาหารหรือน้ำเพื่อช่วยในการทำให้ฤทธิ์ของยาเจือจาง ยาก่อนนอน ให้รับประทานยาในช่วงก่อนเข้านอนตอนกลางคืนประมาณ 15-30 นาที ยาที่รับประทานตอนท้องว่าง ให้รับประทานยาก่อนอาหาร
รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ ตอนที่2
การรักษาโรคภูมิแพ้ การรักษาด้วยยา ยารักษาโรคภูมิแพ้หลายชนิดเป็นยาสามัญที่คุณสามารถหาซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไป แต่ยารักษาโรคภูมิแพ้บางอย่างก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายให้ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้ยาสามัญหรือสั่งจ่ายยาเฉพาะให้ หรือทั้งสองอย่างการรักษาด้วยยาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้อย่างถูกต้องตามที่แพทย์แนะนำ 1. ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ยาแก้แพ้เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยป้องกันไม่ให้ Histamineรบกวนเยื่อบุช่องจมูก จึงช่วยป้องกันอาการต่างๆ เช่น การจาม คันจมูก และมีน้ำมูกไหล คุณอาจซื้อยาแก้แพ้เองได้ โดยไม่ต้องให้แพทย์สั่ง แต่ยาเหล่านี้อาจทำให้ง่วงนอนได้ ส่วนยาแก้แพ้ที่ไม่ทำให้ง่วงนอนนั้น ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายให้หรือปรึกษาเภสัชกร ยาแก้แพ้ป้องกัน Histamine ไม่ให้รบกวนเยื่อบุช่องจมูก ลดการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล 2. ยาลดอาการคัดจมูก (Decongestant) ยาลดอาการคันจมูกจะลดอาการบวมของเยื่อบุช่องจมูก ทำให้ช่องจมูกโล่งขึ้น และลดความดันในโพรงจมูก ยาชนิดนี้คุณสามารถซื้อได้เอง
โรคลำไส้แปรปรวน ปวดท้องเรื้อรัง ถ่ายผิดปกติ อืดแน่นท้อง จากลำไส้ใหญ่
1. โรคลำไส้แปรปรวน คือ โรคอะไร ตอบ โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome (IBS)) เป็นภาวะเรื้อรังของลำไส้ ซึ่งประกอบด้วยอาการหลัก คือ ปวด หรือ อึดอัดท้อง และ มีลักษณะอาการสัมพันธ์กับการถ่าย หรือ อุจจาระที่เปลี่ยนไป (บ่งบอกว่าเป็นการปวดจากลำไส้ใหญ่) ซึ่งไม่พบว่ามีสาเหตุใด ๆ 2. โรคนี้พบได้มากแค่ไหน คนอื่น ใคร ๆ เป็นโรคนี้กันมากไหม ตอบ ภาวะโรคนี้พบได้มากเลยทีเดียว เรียกว่าบางการศึกษาพบว่าเป็นภาวะที่ทำให้ทำงานไม่ได้เป็นภาวะโรคอันดับ 2 รองจากไข้หวัด พบว่ามีถึง10
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
คนทั่วไปเมื่ออดอาหาร น้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายจะมีกลไกเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายโดยผ่านทางระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน เช่นใช้ glycogen ที่สะสมอยู่ที่ตับ ใช้พลังงานจากไขมันที่สะสมไว้แทน แต่ผู้ป่วยเบาหวานที่น้ำตาลไม่ได้ต่ำโดยธรรมชาติแต่เกิดจากยาเบาหวานนั้น กลไกช่วยเหลือของร่างกายอาจไม่เพียงพอจนทำให้มีอันตรายถึงหมดสติได้ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำพบได้เรื่อยๆในผู้ป่วยเบาหวานที่พยายามควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี เมื่อกินอาหารได้น้อย กินอาหารผิดเวลา ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมมาก จึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ จึงควรที่จะรู้จักภาวะนี้ให้ดี ผู้ป่วยส่วนหนึ่งรู้จักอาการแต่แก้ไขไม่ถูกต้องจึงทำให้น้ำตาลกลับเป็นตรงข้าม คือสูงขึ้นจนน่ากลัว Q: ผู้ป่วยเบาหวานคนไหนบ้างเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ? A : – ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานไม่รุนแรงรักษาโดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายโดยไม่ใช้ยาเบาหวานไม่เสี่ยงต่อภาวะนี้ – ผู้ป่วยใช้ยาที่ไม่เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ ได้แก่ Metformin หรือ glucophage Pioglitazone หรือ actos
ไข้หวัดใหญ่ โรคใกล้ตัวที่ป้องกันได้
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลันที่มีการระบาดทั่วโลก ซึ่ง ทุกคนมีโอกาสได้รับเชื้อนี้ ไข้หวัดใหญ่ติดต่ออย่างไร เชื้อไข้หวัดใหญ่ติดต่อกันได้ง่าย ผ่านทางระบบทางเดินหายใจหรือการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น ไอ จามรดกัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่แออัดหรือสถานที่ๆมีระบบปรับอากาศ หรือจับต้องสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย และในช่วง 1-2 วัน ก่อนจะแสดงอาการ ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นหรือคนในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว อาการของโรค อาการที่สำคัญเริ่มด้วย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียมาก ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว เจ็บคอ คัดจมูก หรือบางคนอาจมีอาเจียนท้องเสียด้วย โดยทั่วไปจะมีอาการ 7-10 วัน หลังจากหายบางคนจะมีอาการอ่อนเพลียอยู่อีกหลายวัน ความรุนแรงของโรค ความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่เองหรือเกิดจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดตามมา
โรคติดบุหรี่
“บุหรี่ทำให้อายุสั้นลงโดยเฉลี่ย 13.2 ปีในผู้ชาย และ 14.5 ปีในผู้หญิง ” การติดบุหรี่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ ควันบุหรี่มีผลกระทบต่อหัวใจและระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ , อัมพฤกษ์อัมพาต , ถุงลมโป่งพองและมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งปอด , มะเร็งในช่องปาก , มะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งตับอ่อน) นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดและโรคความดันโลหิตสูง ผลกระทบของบุหรี่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปริมาณบุหรี่ที่สูบต่อวัน ในควันบุหรี่มีสารก่อมะเร็งหลายชนิดที่มีผลต่อเซลล์ในร่างกาย และยังมีสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดที่มีผลต่อร่างกายและจิตใจ บุหรี่ยังมีผลต่อเด็กทารกในครรภ์ ทำให้มารดาที่ตั้งครรภ์มีโอกาสแท้งบุตร คลอดบุตรที่เสียชีวิต คลอดบุตรที่มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ บุหรี่ยังมีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง บุหรี่ทำให้อายุสั้นลงโดยเฉลี่ย 13.2 ปีในผู้ชาย และ 14.5