…….
อดทนเวลาที่ฝนพรำ..อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
พอเข้าสู่ฤดูฝนโดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เด็ก ๆ มักจะป่วยและมาหาป้าหมอที่โรงพยาบาลบ่อย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงและมักจะรับเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะไวรัส RSV ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ส่งผลรุนแรง ถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้ค่ะ คุณแม่ ๆ หลายคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ลูกติดเชื้อ RSVหรืออาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากคุณครู หรือ คุณหมอที่ดูแล แล้วเชื้อ RSV นี้เป็นอย่างไร ทำไมป้าหมอถึงเรียกว่า เป็นไวรัสวายร้าย ถ้าพร้อมแล้ว มาทำความรู้จักกับเชื้อ RSV ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
RSV ไวรัส คืออะไร
RSV (Respiratory Syncytial Virus) จริง ๆ แล้วเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แต่อาการจะเป็นมากในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยตั้งแต่ วัยแรกเกิด จนถึงช่วงวัยเข้า nursery ค่ะ ในประเทศไทยมักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยเด็ก ๆ จะติดเชื้อ RSV จากการรับเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากการสัมผัส หรือละอองน้ำมูกของผู้ป่วยคนอื่น และมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน
RSV เจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจ
การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากไวรัส RSV เกิดได้ตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่าง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ (Acute bronchiolitis) และอาจทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ (pneumonia) โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการปอดบวม ไอ หอบได้ง่าย เด็กจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางครั้งเป็นมากจะหายใจดัง “วี้ด”ถ้าเป็นมากขึ้นจะมีอาการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้นยังส่งผลให้เด็กบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืดในอนาคตได้อีกด้วย พอเห็นอย่างนี้แล้ว ป้าหมอถึงได้เรียก RSV ว่าเป็นเจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจไงคะ
ลูกเป็นหวัดธรรมดา หรือเป็น RSV กันนะ?
เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัดเลยค่ะ คือ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก แต่สิ่งที่พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นว่าลูกอาจจะติดเชื้อ RSV ได้แก่
- ไอมาก เสมหะเยอะและเหนียวข้น
- อาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง หน้าอกบุ๋ม
- อาจมีเสียงหายใจดังวี้ด ๆ
- ไม่กินอาหารและน้ำ
- ไข้สูง
- มักจะซึม หรือหงุดหงิด กระสับกระส่าย
หากลูกมีอาการเหล่านี้ในช่วงที่ไวรัส RSV ระบาด ควรพาไปให้คุณหมอเช็คอย่างละเอียด คุณหมอก็จะตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด ถ้ามีเสียงวี้ด คุณหมอจะพ่นยาขยายหลอดลม รวมถึงการเอ็กซเรย์ปอดในรายที่สงสัยปอดอักเสบค่ะ
การตรวจหาเชื้อนี้ทำได้ไม่ยากค่ะ เราจะใช้อุปกรณ์พิเศษลักษณะคล้ายก้านสำลียาว ๆ เข้าไปป้ายในโพรงจมูก เพื่อส่งไปตรวจหาไวรัส RSV คล้ายกับที่ทำในไข้หวัดใหญ่ค่ะ หลาย ๆ คนน่าจะพอนึกภาพออกนะคะ
การรักษา RSV ต้องรักษาตามอาการค่ะ
ในปัจจุบันยังไม่มียารักษา RSV โดยเฉพาะ การรักษาอาการติดเชื้อไวรัส RSV จึงต้องรักษาไปตามอาการที่ป่วย คือ ให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ให้ยาลดน้ำมูก ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีอาการหนักอาจต้องนอนโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ เคาะปอด และอาจจะต้องช่วยดูดเสมหะ หรือถ้ามีอาการรุนแรงมากก็จะต้องได้รับออกซิเจนหรือใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ หากเด็กมีอาการไม่รุนแรง ก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ด้วยการกินยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอค่ะ และในที่สุดร่างกายก็จะสามารถกำจัดเชื้อไปได้เองค่ะ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น RSV แล้ว สามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้งนะคะ แต่อาการจะน้อยลงค่ะ
“ทำอย่างไร ห่างไกล RSV”
เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มากโดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กอยู่กันมาก ๆ เช่น โรงเรียนอนุบาลหรือnursery ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยไม่ป่วยจากโรคนี้ คือ การมีร่างกายที่แข็งแรงและรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนทานอาหาร เพราะไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จาก น้ำลาย น้ำมูก ไอ จาม
- ไม่ควรให้ลูกอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด โดยเฉพาะหากโรงเรียนหรือnursery มีการระบาดอยู่
- ทำความสะอาดของเล่น
- ผู้ป่วยต้องปิดปากหรือใส่หน้ากากอนามัยเวลาไอจามเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด
- เมื่อลูกต้องอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าไวรัส RSV จะมีอาการรุนแรงมากกว่าไวรัสหวัดทั่วไป แต่ถ้าเรารู้วิธีการรักษาและช่วยกันดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรง ก็ปลอดภัยจาก RSV เจ้าไวรัส วายร้ายตัวนี้ได้ค่ะ เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของฮีโร่อย่างคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีจาก ป้าหมอนงนภัส เก้าเอี้ยน