Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

คุณแม่ตั้งครรภ์กับการออกกำลังกาย

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 21 กุมภาพันธ์ 2024
การออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านมักประสบกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากมายที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเหลีย ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ท้อง ขนาดครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นจนทำให้อึดอัด ปวดหลัง ปวดขา ปวดอุ้งเชิงกราน ปวดข้อ เท้าบวม และอีกสารพัดความไม่สบายตัวที่มาทำให้เหล่าคุณแม่ตั้งครรภ์แทบไม่อยากจะขยับเนื้อขยับตัว เพราะแค่อยู่เฉย ๆ ก็ลำบากจะแย่แล้ว ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์หลาย ๆ คนไม่อยากออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย แต่ทราบหรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วการออกกำลังกายนั้นกลับเป็นตัวช่วยสำคัญที่สุดที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้และยังเป็นประโยชน์กับทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย

สารบัญ

  • คุณแม่ตั้งครรภ์ออกกําลังกายได้ไหม?
  • ประโยชน์ของการออกกำลังกายในคนท้อง
  • คนท้องควรออกกําลังกายอย่างไร?
  • รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์
  • การออกกําลังกายในหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาส
  • การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์
  • ข้อห้ามในการออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
  • สรุป

คุณแม่ตั้งครรภ์ออกกําลังกายได้ไหม?

คุณแม่มักมีความกังวลว่าการออกกำลังกายจะไม่ปลอดภัยกับทารกในครรภ์ แต่จากข้อมูลของ วิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American College of Obstetricians and Gynecologists; ACOG) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกกำลังกายในหญิงตั้งครรภ์ว่า สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์แล้ว และมีสุขภาพร่างกายปกติดีทั้งในแม่และทารกในครรภ์ การออกกำลังกายที่เหมาะสมในทุกช่วงอายุครรภ์จะไม่ทำให้เกิดการแท้ง ไม่ทำให้ทารกตัวเล็กกว่าเกณฑ์ และไม่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ดังนั้น สูตินรีแพทย์จึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายที่เหมาะสมมีประโยชน์กับทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์ ทั้งนี้ควรอยู่ในการดูแลและแนะนำของแพทย์

> กลับสู่สารบัญ

ประโยชน์ของการออกกำลังกายในคนท้อง

การออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้ และยังช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยประโยชน์ของการออกกำลังกายในคนท้องมีดังต่อไปนี้

  • ทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นสบายตัว กระฉับกระเฉง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเลือดไหลเวียนดีขึ้น และส่งผลดีต่อทารกในครรภ์ด้วย
  • ช่วยลดความเครียดของคุณแม่ได้
  • ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่ผูกหรือมีท้องผูกน้อยลง เพราะระบบย่อยอาหารจะทำงานดีขึ้น
  • การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นฮอร์โมนอะดรีนาลิน และ ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน จากแม่ซึ่งช่วยให้ทารกในครรภ์กระปรี้กระเปร่าและมีความสุข เหมือนกับคุณแม่ที่ออกกำลังกาย
  • ลดโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)
  • ลดโอกาสเกิดความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ (gestational hypertension)
  • ลดโอกาสเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes)
  • ช่วยให้คลอดง่าย ลดโอกาสการผ่าคลอดหรือการใช้เครื่องมือช่วยคลอด 
  • ลดโอกาสเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทั้งในขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด
  • ลดอาการปวดหลังและอุ้งเชิงกราน
  • ลดโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าขณะตั้งครรภ์
  • ช่วยไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากจนเกินไปขณะตั้งครรภ์ 
  • ช่วยไม่ให้น้ำหนักค้างเติ่งหลังคลอด การออกกำลังกายร่วมกับการให้นมบุตรจะช่วยให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ลดลง และรูปร่างกลับมาสู่ร่างเดิมก่อนการตั้งครรภ์

> กลับสู่สารบัญ

คนท้องควรออกกําลังกายอย่างไร?

การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคุณแม่ตั้งครรภ์

  1. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่สุขภาพร่างกายปกติดี ครรภ์และทารกไม่มีความผิดปกติ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงการตั้งครรภ์
  2. คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีการออกกำลังกายระดับปานกลาง (moderate intensity) โดยรวมสัปดาห์ละ 150 นาที โดยควรแบ่งกระจายการออกกำลังกายเป็นอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และหากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 20 นาที จะให้ผลดีที่สุด โดยหากไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำมาก่อน ควรเริ่มแต่น้อย อาจจะเริ่มจาก 5 นาทีแล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ จนถึงกว่าจะถึงเป้าหมาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการหักโหมอย่างทันทีทันใด 
  3. การออกกำลังกายระดับปานกลางสามารถประเมินได้จากการพูด คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะสามารถพูดคุยเป็นประโยคในขณะออกกำลังกายได้ ไม่หอบเหนื่อยจนพูดได้เพียงเป็นคำ ๆ หรือต้องหยุดเพื่อหายใจ
  4. ไม่กดดันร่างกายจนเกินไป ควรออกกำลังกายเท่าที่รู้สึกว่าทำได้ หากมีอาการแพ้ท้องรุนแรง อ่อนเพลียมาก รู้สึกไม่ไหว อย่าฝืน ควรเลื่อนการออกกำลังกายออกไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้หายใจไม่ทัน หน้ามืด เสี่ยงต่อโรคลมแดด หรือท่าออกกำลังกายที่ต้องนอนหงายหลัง

นอกจากนี้คุณพ่อและสมาชิกในครอบครัวยังสามารถช่วยกันส่งเสริมสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ด้วยการคอยดูแลและสนับสนุนการออกกำลังกาย

> กลับสู่สารบัญ

รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่ออกกำลังหักโหมเกินไป และเลือกชนิดการออกกำลังกายอย่างผสมผสาน ทั้งการออกกำลังแบบแอโรบิก การออกกำลังแบบเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการออกกำลังที่เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย โดยเน้นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นพิเศษ โดยคุณแม่ตั้งครรภ์อาจลองพิจารณาใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในช่วงอายุครรภ์ที่มากขึ้น เช่น เข็มขัดพยุงครรภ์ เทปพยุงกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นต้น

> กลับสู่สารบัญ

การออกกําลังกายในหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาส

ร่างกายของคุณแม่เกิดความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปในแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละไตรมาส

การออกกําลังกายในไตรมาสแรก (1-3 เดือน)

ไตรมาสแรกมักเป็นช่วงเวลามักมีอาการแพ้ท้อง ซึ่งอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย ดังนั้นหากมีอาการแพ้ท้องมาก อาจงดการออกกำลังกายไปก่อนและเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีอาการแพ้ท้องโดยในระยะนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมาก่อน ควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เท่านั้น เช่น เดินเล่น 10 นาที สลับกับเดินเร็ว 5 นาที แล้ววันถัดไป ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ วันละเล็กน้อย จนเด็นเร็วได้  30 นาที เป็นต้น 

การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสแรก ได้แก่

  • การเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel)
  • เดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ เบา ๆ 
  • ว่ายน้ำหรือแอโรบิกในน้ำ
  • โยคะ
  • พิลาทิส
  • ท่าออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อที่ใช้น้ำหนักตัว โดยไม่ใช้อุปกรณ์เพื่อแรงต้านหรือเพิ่มน้ำหนัก เช่น squats, lunges, pelvic curls เป็นต้น

การออกกําลังกายในไตรมาสที่ 2 (4-6 เดือน)

ไตรมาสที่ 2 คือช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกดีขึ้น อาการแพ้ท้องลดลงหรือหมดไป รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง ดังนั้นในช่วงไตรมาสนี้จึงนับเป็นโอกาสทองในการออกกำลังกาย โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ที่ 14 ถึง 24 สัปดาห์ เพราะหลังจากนั้นครรภ์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ในช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 นี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงท่าออกกำลังกายที่ต้องมีการนอนหงายหลัง เพราะครรภ์ที่มีขนาดใหญ่อาจกดทับหลอดเลือดและลดการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจได้ 

การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสที่ 2  ได้แก่

  • การเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง อุ้งเชิงกราน ต้นขาและสะโพก
  • เดินเร็ว
  • ว่ายน้ำหรือแอโรบิกในน้ำ
  • โยคะสำหรับคนท้อง

การออกกําลังกายในไตรมาสที่ 3 (7-9 เดือน)

ไตรมาสที่ 3 คือช่วงเวลาเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการคลอด ครรภ์ของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ ทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดมากขึ้น ครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นมากจะทำให้คุณแม่ขยับตัวได้ลำบากขึ้น อาจก้มไม่ได้ เดินช้าลง หายใจหอบเหนื่อยได้ง่ายขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์จะเปลี่ยนไปเป็นทางด้านหน้าจากครรภ์ที่ใหญ่และหนัก ทำให้การรักษาสมดุลการทรงตัวของร่างกายยากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 จึงต้องระมัดระวังและป้องกันการล้ม ช่วงไตรมาสที่ 3 นี้จึงเหมาะแก่การออกกำลังกายเท่าที่คุณแม่รู้สึกว่าร่างกายยังไหวและสามารถทำได้ เน้นฝึกความยืดหยุ่น ผ่อนคลาย และบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและหน้าท้องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด

การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้แก่

  • ว่ายน้ำ
  • โยคะสำหรับคนท้อง
  • พิลาทิส
  • การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลางและอุ้งเชิงกราน

> กลับสู่สารบัญ

การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อครรภ์ ดังต่อไปนี้

  1. กิจกรรมที่อาจจะเกิดแรงกระแทกต่อหน้าท้องได้ ได้แก่

    • กีฬาที่มีการปะทะ เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล 
    • ศิลปะการต่อสู้ เช่น ต่อยมวย มวยไทย มวยปล้ำ
    • กีฬาที่เสี่ยงต่อการล้ม เช่น เบสบอล วอลเลย์บอล ยิมนาสติก
  2. การออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อต่อและเส้นเอ็น เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมน relaxin ซึ่งมีผลให้เกิดการคลายตัวของข้อต่อกระดูกเชิงกราน ทำให้อุ้งเชิงกรานขยายขนาดความกว้าง เพื่อเตรียมร่างกายคุณแม่ให้พร้อมสำหรับการคลอดบุตร แต่ในขณะเดียวกันฮอร์โมนตัวนี้ก็มีผลคลายข้อต่อและเส้นเอ็นอื่น ๆ ทั่วร่างกายด้วย ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีโอกาสบาดเจ็บข้อต่อและเส้นเอ็นได้ง่ายขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่มีการกระโดดและมีแรงกระแทกสูง เช่น กระโดดเชือก กระโดดตบ สควอทจัมพ์ เป็นต้น
  3. การยกน้ำหนักมาก ๆ แม้ว่าการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะมีผลดีต่อการตั้งครรภ์ แต่การยกน้ำหนักที่มากเกินไป อาจส่งผลต่อการทรงตัวและทำให้ล้มได้ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งครรภ์มีขนาดใหญ่มากแล้ว โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่ควรยกของหนัก หรือคุณแม่ที่ออกกำลังกายก็ควรออกกำลังตามความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ควรฝืนหรือหักโหม 
  4. กิจกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันบรรยากาศอย่างมาก เช่น การดำน้ำลึก (scuba diving) และการโดดร่มชูชีพ (sky diving)
  5. การออกกำลังกายในสถานการณ์ที่มีมลพิษทางอากาศ (PM2.5) สูง เพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบหายใจโดยตรง ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์อาจเกิดการกำเริบของโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ได้ ซึ่งการตั้งครรภ์จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ จนอาจถึงขั้นการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้น PM2.5 ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์น้ำหนักตัวน้อย การเจริญเติบโตช้ากว่ามาตรฐานคลอดก่อนกำหนด และเป็นโรคภูมิแพ้ในอนาคต ดังนั้น หากอยู่ในพื้นที่มีมลพิษทางอากาศ PM2.5 คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง และเปลี่ยนมาออกกำลังกายในห้องที่มีการฟอกอากาศแทน

> กลับสู่สารบัญ

ข้อห้ามในการออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะครรภ์ที่ผิดปกติต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เช่น  

  • มีภาวะเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้
  • มีภาวะครรภ์เป็นพิษหรือความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ 
  • มีการเย็บผูกปากมดลูก (cervical cerclage) เพื่อรักษาภาวะปากมดลูกหลวมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
  • ครรภ์แฝดและมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด 
  • มีภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
  • มีภาวะรกเกาะต่ำหลังอายุครรภ์ 26 สัปดาห์
  • ถุงน้ำคร่ำแตกหรือมีภาวะคลอดก่อนกำหนด  
  • มีภาวะเลือดจางรุนแรง
  • มีโรคหัวใจหรือโรคปอด
  • มีโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือไทรอยด์ ที่ยังควบคุมไม่ได้

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

การออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอในคุณแม่ตั้งครรภ์จะช่วยส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ ระหว่างการตั้งครรภ์ ช่วยให้คลอดง่ายขึ้น และช่วยให้ร่างกายคุณแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมและหนักเกินไป ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ และควรอยู่ในการดูแลและแนะนำจากสูตินรีแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

doc-logo

สถาบันหัวใจและหลอดเลือด แผลเล็ก (MIS)

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา