โรคมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นโรคมะเร็งที่พบมากในคนไทย ซึ่งในรายงานของ GLOBOCAN 2022 ระบุว่ามะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบได้มากและมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกจากมะเร็งทั้งหมด มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และผู้ป่วยมักมีอายุมากกว่า 40 ปี
ความน่ากลัวของมะเร็งกระเพาะอาหารคือเป็นโรคที่มันมักเริ่มต้นแบบเงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่มีอาการใดๆ เพราะในระยะแรกมักไม่มีอาการใด ๆ และจะแสดงอาการเมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามแล้ว อาการเริ่มต้นไม่เฉพาะเจาะจงเช่น อาการท้องอืด แน่นท้อง หรือปวดท้องหลังอาหาร อาจถูกมองข้ามและเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ปัญหาทางเดินอาหารทั่วไป กว่าจะรู้ตัว โรคนี้ก็อาจกระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ และทำให้การรักษายากขึ้น การเข้าใจความอันตรายของมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้เราสามารถรับมือและป้องกันได้อย่างทันท่วงที
สารบัญ
- มะเร็งกระเพาะอาหารคืออะไร?
- อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากอะไร มีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง?
- การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร
- วิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร
- ระยะต่าง ๆ ของมะเร็งกระเพาะอาหารและการรักษา
- มะเร็งกระเพาะอาหารรักษาหายไหม?
- มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายมีอาการอย่างไร?
- คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
- วิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร
- สรุป
มะเร็งกระเพาะอาหารคืออะไร?
มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric Cancer) เป็นมะเร็งที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ที่อยู่บริเวณเยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากเซลล์ในส่วนต่าง ๆ ของกระเพาะอาหาร รวมถึงเซลล์ที่ผลิตน้ำย่อยหรือเซลล์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เซลล์
- มะเร็งกระเพาะอาหารรักษาหายไหม?
- มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายมีอาการอย่างไร ? มะเร็งเหล่านี้มักเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ โดยระยะแรกของมะเร็งกระเพาะอาหารมักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นเป็นไปได้ยาก มะเร็งกระเพาะอาหารมีหลายชนิด เช่น
- Adenocarcinoma: เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดขึ้นจากเซลล์ที่อยู่ในเยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร
- Lymphoma: มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ภูมิคุ้มกันในกระเพาะอาหาร
- Gastrointestinal stromal tumors (GISTs): เนื้องอกที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของกระเพาะอาหาร
- Carcinoid tumors: มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร
อาการของมะเร็งกระเพาะอาหาร
อาการของมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน ทำให้มักถูกมองข้ามไป โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวดท้องหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณท้อง: อาการนี้อาจเป็นเพียงอาการปวดเล็กน้อย หรือปวดหนักขึ้นเมื่อโรครุนแรงขึ้น
- เบื่ออาหาร: ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกไม่อยากกินอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เคยชอบ
- น้ำหนักลด: การที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนอาจเป็นสัญญาณของมะเร็ง
- ท้องอืด: มีความรู้สึกอืดแน่นในท้องหลังจากรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย
- คลื่นไส้และอาเจียน: บางครั้งอาจพบอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือมีเลือดปนในอุจจาระ ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกภายในระบบทางเดินอาหาร
- อาการเรอหรือมีกรดไหลย้อน: ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคกรดไหลย้อน ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาทั่วไปของทางเดินอาหาร
และเนื่องจากอาการของโรคไม่ชัดเจนทำให้มักถูกมองข้าม ดังนั้นการสังเกตอาการที่ผิดปกติเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรค เพราะการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะมีโอกาสหายและให้ผลการรักษาที่ดีกว่า
มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากอะไร มีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง?
ถึงแม้สาเหตุของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารจะยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเพิ่มโอกาสเกิดโรคได้ เช่น
- เพศ: มะเร็งกระเพาะอาหารพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารสูงกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า
- อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมีอายุมากกว่า 75 ปี
- การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori): การติดเชื้อนี้ทำให้เกิดการอักเสบในเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร ยิ่งสูบบุหรี่นานและมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้น
- อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีเกลือมาก เนื้อสัตว์หรืออาหารแปรรูป หรืออาหารรมควัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร ในขณะที่การรับประทานผักและผลไม้สดไม่เพียงพอหรือน้อยเกินไปก็เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน
- น้ำหนักเกิน: คนที่มีน้ำหนักหรือดัชนีมวลกายเกินกว่าเกณฑ์มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งที่รอยต่อระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร (gastro-oesophageal junction หรือ GOJ)
- สภาวะของกระเพาะอาหาร: ภาวะต่าง ๆ เช่น โรคโลหิตจางชนิดเพอร์นิเชียส (Pernicious anemia) หรือภาวะกระเพาะอักเสบเรื้อรัง (Atrophic gastritis) อาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
- การผ่าตัดกระเพาะอาหาร: การตัดกระเพาะบางส่วนเพื่อรักษาโรคอื่น ๆ เช่น แผลในกระเพาะ อาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
- ประวัติครอบครัว: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในกรณีที่มีสมาชิกในครอบครัวหลายคนที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารตั้งแต่อายุน้อย
การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร
การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหารต้องอาศัยการตรวจหลายอย่างเพื่อให้ได้ผลที่แน่นอน โดยการตรวจที่มักใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่
- การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper endoscopy): เป็นการใช้กล้องส่องภายในกระเพาะอาหารเพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อต่างๆในกระเพาะอาหาร
- การเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy): เป็นการเก็บชิ้นเนื้อจากกระเพาะอาหารโดยผ่านการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น และชิ้นเนื้อที่เก็บจากกระเพาะอาหารนี้จะถูกส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
- การตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาโปรตีนหรือสารที่บ่งชี้การเกิดมะเร็ง
- การถ่ายภาพทางการแพทย์: เช่น CT scan หรือ MRI เพื่อดูการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่น
- การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ผ่านกล้องส่อง (Endoscopic Ultrasound – EUS): เป็นการใช้กล้องที่ติดเครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจดูความลึกของเนื้องอกในผนังกระเพาะอาหาร
วิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร
การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยวิธีการรักษาที่แพทย์ใช้ในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่
- การผ่าตัด (Surgery): เป็นการรักษาหลักสำหรับมะเร็งกระเพาะอาหารที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น การผ่าตัดสามารถแบ่งออกเป็นหลายแบบ เช่น การผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกบางส่วน (Partial gastrectomy) หรือการผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกทั้งหมด (Total gastrectomy) ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอก
- การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นการใช้ยาทำลายเซลล์มะเร็งทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด หรือในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว
- การฉายแสง (Radiotherapy): โดยใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเจริญเติบโต
- การรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): เป็นวิธีที่อาศัยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง โดยใช้ยาเฉพาะที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ระยะต่าง ๆ ของมะเร็งกระเพาะอาหารและการรักษา
- ระยะแรก: มะเร็งในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการเด่นชัด ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์เนื่องจากอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือปวดท้องหลังจากการรับประทานอาหาร ซึ่งอาการเหล่านี้อาจคล้ายกับโรคกระเพาะอาหาร ในระยะนี้ การรักษาสามารถทำได้ด้วยการผ่าตัด หากมะเร็งยังอยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร สามารถตรวจพบจากการส่องกล้องและรักษาโดยการใช้กล้องส่องทางเดินอาหาร
- ระยะที่สอง: มะเร็งเริ่มโตขึ้น แต่ยังไม่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง การรักษาหลักในระยะนี้คือการผ่าตัดเอามะเร็งและต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงออก อาจมีการใช้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วย
- ระยะที่สาม: มะเร็งเริ่มลุกลามไปติดอวัยวะข้างเคียง ทำให้ไม่สามารถเลาะกระเพาะอาหารออกได้หมด หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง การรักษาในระยะนี้จะทำการผ่าตัดออกทั้งหมด รวมถึงเลาะต่อมน้ำเหลืองออกด้วย การใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการรักษาด้วยความร้อนมาช่วยในการผ่าตัด จะเพิ่มโอกาสการหายขาดมากขึ้น
- ระยะสุดท้าย: มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ หรือ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป การรักษาในระยะนี้จะมุ่งเน้นที่การควบคุมและลดอาการของโรค โดยการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อช่วยบรรเทาอาการและควบคุมการเจริญเติบโตของมะเร็ง
มะเร็งกระเพาะอาหารรักษาหายไหม?
การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารสามารถให้ผลดีและหายได้หากตรวจพบในระยะแรกและได้รับการรักษาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากมะเร็งได้รับการวินิจฉัยในระยะที่ลุกลามแล้ว โอกาสในการหายก็จะจะลดลง และการรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการและยืดอายุของผู้ป่วย
มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายมีอาการอย่างไร?
ในระยะสุดท้ายของมะเร็งกระเพาะอาหาร อาการมักจะรุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยอาการที่พบบ่อย เช่น
- ปวดท้องอย่างรุนแรง: อาการปวดอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในบางครั้งยาแก้ปวดอาจไม่สามารถช่วยลดอาการได้
- น้ำหนักลดลงมากและอ่อนเพลีย: ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายจะมีการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
- อาการอาเจียนอย่างต่อเนื่อง: มักเกิดขึ้นเนื่องจากกระเพาะอาหารไม่สามารถรับอาหารได้ตามปกติ
- การแพร่กระจายของมะเร็ง: อาจมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง ทำให้เกิดอาการเพิ่มเติม เช่น อาการเหนื่อย หายใจลำบาก หรือภาวะตัวเหลือง
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
การดูแลผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารควรดูแลรักษาทางกายและรวมถึงการดูแลสุขภาพจิตใจด้วย โดยคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว ได้แก่
- การสื่อสารกับทีมแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแผนการรักษาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- การดูแลเรื่องโภชนาการ: ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลจากนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
- การดูแลสุขภาพจิต: ครอบครัวและผู้ป่วยควรเปิดใจในการพูดคุยถึงความรู้สึกและความกังวลเพื่อสร้างความเข้าใจและช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: ควรเพิ่มปริมาณผักและผลไม้ในอาหาร เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการเกิดมะเร็งได้
- ลดการบริโภคอาหารเค็มและอาหารแปรรูป: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือสูง อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป หรืออาหารรมควัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร
- เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การลดหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้
- ตรวจหาการติดเชื้อ H. pylori: ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย H. pylori โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
สรุป
มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในกระเพาะ ซึ่งสาเหตุมักมาจากการติดเชื้อ H. pylori การรับประทานอาหารเค็มหรือแปรรูป การสูบบุหรี่ และพันธุกรรม ส่วนการป้องกันสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารสุขภาพ ลดของเค็ม และเลิกบุหรี่ นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การส่องกล้องกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จะช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้