ว่ากันว่ากว่าคนสองคนจะพร้อมมีลูก ทั้งคู่ต้องคิดวางแผน และมีสารพัดคำถามหลายสิบข้อ เพื่อตระเตรียมความพร้อมต้อนรับ ‘เจ้าตัวน้อย’ มาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้าน …แต่ในตอนที่ทุกอย่างเกือบจะมาถึงจุดหมาย ว่าที่คุณพ่อ-คุณแม่มือใหม่กลับต้องเผชิญสิ่งที่หลายครอบครัวไม่อยากเจอ อย่าง “ภาวะมีบุตรยาก” ปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและความสัมพันธ์ การทำเด็กหลอดแก้ว หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า IVF เป็นเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่สามารถเพิ่มโอกาสการมีบุตร สำหรับคู่สามี-ภรรยาที่มีบุตรยากได้
การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) คืออะไร?
การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF (In-Vitro Fertilization) คือเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มโอกาสการมีบุตรด้วยการนำไข่และอสุจิของคู่สมรสออกมาปฏิสนธิกันนอกร่างกาย และเกิดเป็นตัวอ่อนในหลอดแก้ว และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตัวอ่อนจะถูกย้ายเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงและเกิดการตั้งครรภ์ในที่สุด ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาให้กับคู่สามี-ภรรยาที่มีภาวะมีบุตรยากให้สามารถตั้งครรภ์และมีบุตรได้
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) มีอะไรบ้าง?
โดยขั้นตอนของการทำเด็กหลอดแก้ว มีดังนี้
- แพทย์จะใช้ยากระตุ้นไข่ของฝ่ายหญิง ซึ่งจะเป็นฮอร์โมนแบบฉีด โดยให้ต่อเนื่องราว 8-12 วัน เพื่อเพิ่มจำนวนการตกไข่
- แพทย์จะทำการเจาะดูดไข่ออกมานอกร่างกายฝ่ายหญิง
- ในวันเดียวกับการเก็บไข่ แพทย์จะให้ฝ่ายชายเก็บอสุจิออกมา ซึ่งในกรณีที่เก็บอสุจิไม่ได้หรือฝ่ายชายไม่มีอสุจิ แพทย์จะทำการเจาะอสุจิจากบริเวณท่อพักหรือจากตัวอัณฑะออกมา
- แพทย์จะทำการคัดแยกอสุจิของฝ่ายชาย และฉีดอสุจิของฝ่ายชายเข้าไปในหลอดแก้ว เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิและเกิดเป็นตัวอ่อนในหลอดแก้ว
- เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตัวอ่อนนั้นจะถูกย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงให้เกิดการฝังตัว พร้อมตั้งครรภ์ในท้ายที่สุด
อีกทั้งในระหว่างกระบวนการทำ IVF จะใช้วิธี ICSI (Intra Cytoplasmic Sperm Injection) หรืออิ๊กซี่ โดยจากปกติที่จะให้อสุจิจำนวนหนึ่งเข้าไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่ ICSI คือการคัดเลือกอสุจิที่ดูดีและเคลื่อนไหวได้ดีมา 1 ตัว แล้วจึงฉีดเข้าไปในไข่ เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการปฏิสนธิให้มีมากขึ้น
การทำเด็กหลอดแก้วแล้วสำเร็จ มีมากน้อยแค่ไหน?
อัตราความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- อายุของฝ่ายหญิง เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว
- ฝ่ายหญิงที่อายุน้อยกว่า 40 ปี โอกาสตั้งครรภ์จะมีสูงถึง 30-40%
- ฝ่ายหญิงที่อายุ 40 ปี โอกาสตั้งครรภ์ลดเหลือ 10-15%
- ฝ่ายหญิงที่อายุประมาณ 42 ปี โอกาสตั้งครรภ์เหลือประมาณ 5-10%
- ฝ่ายหญิงที่อายุ 44 ปีขึ้นไป โอกาสที่จะตั้งครรภ์จะเหลือน้อยกว่า 5% (โดยทฤษฎี)
- คุณภาพของอสุจิ
- คุณภาพของตัวอ่อนหลังการปฏิสนธิ
แบบไหนที่ถือว่าเป็นภาวะมีบุตรยาก?
ภาวะมีบุตรยาก คือการที่คู่สมรสไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการตั้งครรภ์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้การคุมกำเนิด โดยปกติจะนิยามว่ามีบุตรยากได้ จะนับจากระยะเวลาหลังจากการใช้ชีวิตคู่อย่างน้อย 1 ปี แต่ปัจจุบันมีข้อมูลใหม่โดยใช้อายุของฝ่ายหญิงมาตัดสินร่วมด้วย คือถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปี จะนิยามด้วยเกณฑ์เวลา 1 ปีเท่าเดิม แต่ถ้าฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า 35 ปี จะนับเวลาแค่เพียง 6 เดือน เพราะคุณภาพไข่จะลดลงไปตามวัย และจะแย่ลงไปอีกหากฝ่ายหญิงมีอายุเกินกว่า 38 ปีขึ้นไป
สาเหตุของภาวะมีบุตรยากมีอะไรบ้าง?
แม้คำนิยามของภาวะมีบุตรยากจะขึ้นกับอายุฝ่ายหญิงเป็นหลัก แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากก็สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
- ทางฝ่ายชาย มักมาจาก “ความผิดปกติของอสุจิ” เป็นหลัก เช่น
- ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำงานผิดปกติ
- อัณฑะเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือการฉายแสง
- อสุจิไม่ออกมาจากการที่ท่อนำอสุจิตัน หรือมีการไหลย้อนของอสุจิกลับไปที่ท่อปัสสาวะ
- โรคประจำตัวต่าง ๆ เช่นโรคเบาหวาน อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือป่วยเป็นคางทูม ที่อาการรุนแรงจนส่งผลถึงอัณฑะ
- ปัญหาทางจิตเวช ภาวะซึมเศร้า และความเครียดต่าง ๆ
- ทางฝ่ายหญิง ปัจจัยหลักจะเป็นปัจจัยด้าน “อายุ” ที่ส่งผลโดยตรงกับคุณภาพของไข่ และยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้เช่นกัน เช่น
- ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ไม่สร้างฮอร์โมนมากระตุ้นรังไข่จนไม่เกิดการผลิตไข่
- ความผิดปกติของรังไข่ เช่น ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง (PCOS) ภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร (POF)
- มีการผ่าตัดที่ตัวรังไข่หรือเกิดการติดเชื้อมาก่อน จนทำให้เหลือเนื้อรังไข่น้อย
- เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งอาจส่งผลให้ท่อรังไข่บวม ตัน หรืออยู่ผิดตำแหน่ง
- ตัวมดลูกผิดรูป เป็นความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด
- โรค “ช็อกโกแลตซีสต์” ที่เกิดจากการอักเสบในอุ้งเชิงกราน จนเกิดเป็นผังพืดและอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง
การตรวจภาวะมีบุตรยาก
การตรวจสอบภาวะมีบุตรยากในทางการแพทย์ จะตรวจสอบได้ทั้งฝ่ายชายและหญิง โดยทั่วไปของฝ่ายชายคือการเก็บอสุจิส่งตรวจ โดยจะดูในเรื่องจำนวน เปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหว และรูปร่างของอสุจิ ส่วนของฝ่ายหญิงจะเป็นการตรวจภายในทั่วไป และอัลตราซาวนด์หาความผิดปกติของอวัยวะ หรือมากกว่านั้น แพทย์จะใช้วิธีฉีดสีดูท่อนำไข่ หรือส่องกล้องในช่องโพรงมดลูก เพื่อดูเรื่องของเนื้องอกติ่งเนื้อต่าง ๆ เข้ามาประกอบ
เมื่อพบสาเหตุแล้ว ก็เท่ากับว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มโอกาสการมีบุตรให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจากยาหรือการผ่าตัดแล้วยังไม่สามารถมีบุตรเองได้ ทางเลือกต่อไปที่มีโอกาสมากที่สุด คือการใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์อย่าง “IVF หรือการทำเด็กหลอดแก้ว” เข้ามาช่วยดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ในมากขึ้น
สรุป
“ภาวะมีบุตรยาก” เป็นหัวข้อที่คู่สมรสควรจะปรึกษาแพทย์ หรือวางแผนร่วมกันตั้งแต่ก่อนแต่งงาน หรืออย่างน้อยก็ควรใช้วิธีตรวจก่อน เพราะหากบางคู่พยายามมีบุตรเองแล้วมาพบเจอปัญหาเหล่านี้ทีหลัง รอจนระยะเวลาผ่านไป 6 เดือน ไปเป็น 1 ปี แล้วอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุ 38-39-40 ปี ก็เท่ากับว่าคุณภาพไข่ก็จะยิ่งแย่ลงไปตามอายุ โอกาสในการตั้งครรภ์ก็อาจจะน้อยลง เทคโนโลยีการทำเด็กหลอดแก้วอาจช่วยแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยากได้
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรรอจนอายุ 38-39-40 ปีแล้วจึงไปพบแพทย์ เพราะยิ่งอายุมาก โอกาสการตั้งครรภ์ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ ดังนั้น หากคู่สามี-ภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้เองภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปี ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการมีบุตรยาก