บทความสุขภาพ

Knowledge

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ASD หรือภาวะผนังหัวใจห้องบนรั่ว เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของผนังกั้นระหว่างห้องหัวใจ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ ซึ่ง ASD คือโรคที่เป็นตั้งแต่กำเนิด บางรายอาจไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน แต่หากคุณปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาวจนอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้ให้มากขึ้นว่าอันตรายแค่ไหน และแนวทางการรักษามีอะไรบ้าง


Key Takeaways


  • โรค ASD หรือผนังกั้นหัวใจรั่ว เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่เกิดจากการมีรูรั่วระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและขวา ส่งผลให้เลือดไหลผิดทิศทาง และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • สัญญาณเตือนที่สำคัญของโรค ASD ได้แก่ อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจถี่ ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยครั้ง และอาจมีอาการขาบวมหรือผิวคล้ำบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายในรายที่อาการรุนแรง
  • การวินิจฉัยโรค ASD ทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมคือการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) ซึ่งช่วยให้แพทย์เห็นตำแหน่งและขนาดของรูรั่วได้ชัดเจน
  • การรักษาโรค ASD มีหลายวิธีแต่มักจะนิยมการสวนหัวใจเพื่อปิดรูรั่วขนาดเล็ก และการผ่าตัดแบบเปิดในกรณีที่รูรั่วมีขนาดใหญ่

ผนังกั้นหัวใจรั่วหรือ ASD คืออะไร? ไขข้อสงสัยก่อนหาวิธีรักษา


ภาวะผนังหัวใจห้องบนรั่ว หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Atrial Septal Defect (ASD) เป็นประเภทหนึ่งของโรคหัวใจพิการซึ่งเกิดขึ้นแต่กำเนิด พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยสาเหตุของการเกิดโรค ASD คือ การมีรอยรั่วที่ผนังกั้นระหว่างหัวใจห้องบน ทำให้การไหลเวียนเลือดภายในหัวใจเกิดความผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น


ความผิดปกติดังกล่าวส่งผลให้เลือดที่มีออกซิเจน (เลือดแดง) จากหัวใจห้องบนซ้ายไหลผ่านรูรั่วไปยังหัวใจห้องบนขวา (เลือดดำ) แทนที่จะไหลเข้าสู่ห้องล่างซ้ายตามปกติ ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักยิ่งขึ้นเพื่อที่จะสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ได้


ASD อาการเป็นอย่างไรบ้าง? เช็กสัญญาณเตือนก่อนสาย!


asd-effect-1024x1024.jpg

โรคผนังกั้นหัวใจห้องบนรั่วหรือ ASD มักแสดงอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางรายอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อรูรั่วมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการต่าง ๆ จะเริ่มปรากฏให้เห็นชัดมากขึ้น โดยสัญญาณเตือนที่สำคัญของโรค ASD คือ


  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อออกแรงหรือทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน แม้จะเป็นกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินขึ้นบันได หรือทำงานบ้านทั่วไป ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยหรือหมดแรงมากกว่าคนทั่วไป
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือใจสั่น เป็นอาการที่พบได้บ่อย เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยเลือดที่รั่วออกไป ผู้ป่วยอาจรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่เร็วหรือไม่สม่ำเสมอ
  • หายใจถี่หรือหอบ โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องนอนหนุนหมอนสูงเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น หรือมีอาการหอบเหนื่อยกลางดึก
  • มักติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากการไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติส่งผลต่อปอด ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ
  • ขาบวม โดยเฉพาะหลังยืนนาน ๆ เป็นผลจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ริมฝีปากหรือผิวหนังเขียวคล้ำ (Cyanosis) พบได้ในรายที่มีอาการรุนแรง เกิดจากเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ (เลือดดำ) ไหลย้อนเข้ามาผสมกับเลือดแดงในปริมาณมาก

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยภาวะผนังหัวใจรั่วหลายอย่างร่วมกัน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว การวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ภาวะหัวใจโต หรือความดันในปอดสูง


ASD ตรวจวินิจฉัยอย่างไร มีตัวเลือกแบบไหนบ้าง?


asd-1024x1024.jpg

การวินิจฉัยโรคผนังกั้นหัวใจรั่ว (ASD) อย่างแม่นยำเป็นกุญแจสำคัญสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันนั้นมีวิธีการตรวจวินิจฉัยที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อยืนยันว่าหัวใจมีรูรั่วอยู่จริง ทั้งยังสามารถประเมินขนาดของรูรั่ว เพื่อประกอบการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายอีกด้วย


การตรวจวินิจฉัยโรค ASD จะเริ่มต้นจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น โดยแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ ประวัติครอบครัว และตรวจฟังเสียงหัวใจ ซึ่งในผู้ป่วย ASD มักได้ยินเสียงฟู่ (Heart murmur) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้


เมื่อแพทย์ยืนยันแล้วว่ามีความเสี่ยงต่อโรค ASD ก็จะนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น


  • การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดและใช้บ่อยที่สุด เพราะสามารถแสดงภาพการทำงานของหัวใจแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์เห็นตำแหน่งและขนาดของรูรั่วได้ชัดเจน รวมถึงประเมินการไหลเวียนของเลือดผ่านรูรั่วได้
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram หรือ EKG) ช่วยประเมินจังหวะการเต้นของหัวใจและการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • การเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) แสดงให้เห็นขนาดและรูปร่างของหัวใจ รวมถึงการไหลเวียนเลือดในปอด ซึ่งอาจเห็นความผิดปกติได้ชัดเจนกว่า ในผู้ป่วย ASD
  • การตรวจเอ็มอาร์ไอหัวใจ (Cardiac MRI) ให้ภาพที่ละเอียดของโครงสร้างหัวใจและการไหลเวียนของเลือด เหมาะสำหรับการวางแผนการรักษาในกรณีที่มีความซับซ้อน

ASD สามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง?


asd-treat.jpg

โรคผนังกั้นหัวใจรั่วรักษาได้หลากหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอายุ ขนาดของรูรั่ว ตำแหน่งของรูรั่ว และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ยกตัวอย่างวิธีรักษา ASD ที่ใช้กันบ่อย ๆ ได้แก่


  1. การดูแลรักษาแบบประคับประคอง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีรูรั่วขนาดเล็ก (น้อยกว่า 5 มิลลิเมตร) แพทย์จะนัดติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอและอาจให้ยาเพื่อควบคุมอาการบางอย่าง เช่น ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของรูรั่ว
  2. การรักษาด้วยการสวนหัวใจแบบไม่ต้องผ่าตัด (Transcatheter ASD Closure) เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะเป็นท่อยาวขนาดเท่า ๆ เส้นสปาเกตตี้ สอดใส่ผ่านหลอดเลือดเพื่อปิดรูรั่ว ใช้เวลาในการรักษาและพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัด (สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน) เหมาะสำหรับรูรั่วที่มีขนาดกลางและมีตำแหน่งที่ไม่ซับซ้อนมากนัก
  3. การผ่าตัดหัวใจโดยตรง เหมาะสำหรับรูรั่วขนาดใหญ่หรือมีตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับการสวนหัวใจ โดยศัลยแพทย์จะผ่าตัดเปิดหน้าอกเพื่อเข้าถึงตัวหัวใจโดยตรง จากนั้นจึงใช้วัสดุพิเศษหรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเองในการปิดรูรั่ว การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลนานราว 5-7 วัน และต้องรับการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วย

ASD หรือโรคผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม?


โรคผนังกั้นหัวใจรั่ว หรือ ASD แม้จะเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบได้บ่อย แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาในเวลาที่เหมาะสม


หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีความกังวลเกี่ยวกับโรคผนังกั้นหัวใจรั่ว สามารถปรึกษาและรับการตรวจรักษาได้ที่สถาบันหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระราม 9 เรามีทีมแพทย์และเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมให้การดูแลรักษาอย่างครบวงจร เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด


ติดต่อโรงพยาบาลพระราม 9 ได้ที่



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ASD (ผนังหัวใจรั่ว)


โรค ASD หายเองได้ไหม จำเป็นต้องผ่าตัดหรือเปล่า?


โรค ASD สามารถหายเองได้ โดยมีโอกาสกว่า 80% ที่รูรั่วจะปิดตัวได้เองในช่วงปีแรกหลังเกิดหรือราว ๆ 18 เดือน โดยเฉพาะในรูรั่วขนาดเล็ก (น้อยกว่า 3-4 มิลลิเมตร) อย่างไรก็ตาม รูรั่วที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มักไม่สามารถปิดได้เองและจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์


ASD เป็นโรคทางพันธุกรรมหรือไม่?


ASD มีความเชื่อมโยงกับพันธุกรรมบางส่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกหลานของผู้ที่ป่วยเป็น ASD จะต้องเป็นโรคนี้เสมอไป อย่างไรก็ตาม หากในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อการติดตามการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม


ผู้ป่วย ASD สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?


ผู้ป่วยโรคผนังกั้นหัวใจรั่วสามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินข้อจำกัดและความเหมาะสมของประเภทการออกกำลังกาย โดยทั่วไปแนะนำการออกกำลังกายแบบเบาถึงปานกลาง และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหมหรือต้องใช้แรงมากเพื่อความปลอดภัย


References


Kathy Meyer, RN. (2024, April). Atrial Septal Defects (ASD). Cincinnati Children’s. https://www.cincinnatichildrens.org/health/a/asd


Lee B. (2023, April). Atrial Septal Defects (ASD). MSD Manual. https://www.msdmanuals.com/professional/pediatrics/congenital-cardiovascular-anomalies/atrial-septal-defect-asd#Treatment_v1096211


Mayo Clinic Staff. (2024, January 23). Atrial Septal Defects (ASD). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/atrial-septal-defect/diagnosis-treatment/drc-20369720

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

EST คืออะไร? การตรวจสมรรถภาพหัวใจ Exercise Stress Test

EST (Exercise Stress Test) คือ การออกกำลังกายตรวจสมรรถภาพหัวใจ เป็นวิธีวินิจฉัยสุขภาพหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป EST มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออะไร รู้สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายดี

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออาการที่พบได้บ่อยในคนที่ใช้แรงเยอะ ๆ หรือเคยไหล่หลุดมาก่อน มาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุดได้บ้าง และจะต้องดูแลรักษาตัวอย่างไ

กระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? รู้จักอาการ สาเหตุ และการป้องกัน

โรคกระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? ชวนคุณมาทำความรู้จักกับอาการ สาเหตุ และการรักษา เพื่อป้องกันสุขภาพตัวเองไม่ให้กระดูกคอได้รับบาดเจ็บ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital