บทความสุขภาพ

Knowledge

มะเร็งปอดรักษาหายไหม มาฟังคำตอบกัน!

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

มะเร็งปอดเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่ร้ายแรงและเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งของประชากรทั่วโลก โรคนี้เกิดจากการเจริญที่ผิดปกติของเซลล์ปอด ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคมะเร็งปอดคือการสูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน


“มะเร็งปอดรักษาหายไหม?” เป็นคำถามที่ผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วยอยากรู้ในทันทีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอด โรคนี้ไม่เพียงแต่เป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของผู้คนทั่วโลก แต่ยังเป็นโรคร้ายที่สร้างความความกังวลใจให้กับผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยด้วย การตอบคำถามนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งระยะของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับมะเร็งปอด ตั้งแต่ความหมายของโรค สัญญาณเตือน อาการต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือแนวทางการรักษาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง มาค้นหาคำตอบกันว่ามะเร็งปอดรักษาหายไหม และอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายจากโรคนี้ได้


มะเร็งปอดคืออะไร?


มะเร็งปอดเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ภายในปอด ทำให้เกิดเป็นเนื้องอก ซึ่งเนื้องอกนี้อาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น กระดูก สมอง หรือตับ มะเร็งปอดสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่


  1. มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer – SCLC): เป็นชนิดที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีโอกาสการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้ง่าย ซึ่งมักพบในผู้ที่สูบบุหรี่จัด
  2. มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer – NSCLC): เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด คือพบได้ประมาณ 85% ของผู้ป่วยมะเร็งปอด แต่จะมีการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งช้ากว่า

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด


ความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน โดยปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ มีดังนี้


  1. การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด โดยประมาณ 85% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ปอดซึ่งนำไปสู่การเกิดมะเร็ง
  2. การสัมผัสควันบุหรี่มือสอง: แม้จะไม่ได้สูบบุหรี่เอง แต่การสูดดมควันบุหรี่มือสองจากผู้อื่นที่สูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดได้เช่นกัน
  3. การสัมผัสสารเคมีอันตราย: การทำงานหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับสารเคมี เช่น แร่ใยหิน เรดอน หรือควันจากสารเคมีอุตสาหกรรม เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดได้
  4. มลพิษทางอากาศ: การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือ พื้นที่ที่มีฝุ่นละอองจิ๋วขนาดเล็กที่มีขนาดโมเลกุลเล็กเพียง 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เขตโรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีการเผาพืชไร่หรือนาข้าว ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดได้
  5. ประวัติครอบครัว: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอดจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  6. อายุมากกว่า 65 ปี: ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะหากมีประวัติการสูบบุหรี่หรือสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นอันตราย
  7. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่

สัญญาณเตือนมะเร็งปอด


มะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่มีอาการที่ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยในช่วงต้นทำได้ยาก อย่างไรก็ตามมีสัญญาณเตือนที่ควรระวัง เช่น


  • ไอเรื้อรัง: ไอที่ไม่หายขาด หรือมีอาการไอที่ผิดปกติ เช่น ไอมีเสมหะปนเลือด อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคมะเร็งปอด
  • หายใจลำบาก: รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด หรือหายใจมีเสียงหวีด และยิ่งถ้าหากอาการหายใจลำบากแย่ลงเรื่อย ๆ อาจเป็นอาการของมะเร็งปอด
  • เจ็บหน้าอก: รู้สึกเจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณหน้าอก ซึ่งอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อหายใจลึก ๆ ไอ หรือหัวเราะ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: การมีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  • อ่อนเพลีย: รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม
  • เสียงแหบ: เสียงพูดเปลี่ยนแปลงไป พูดไม่ชัด หรือเสียงแหบไม่หาย

หากมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดหรือไม่ เพราะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้ผลลัพธ์การรักษาดีกว่า


อาการของมะเร็งปอด


อาการของมะเร็งปอดจะแตกต่างกันไปตามระยะของโรคและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่


  • ไอเรื้อรัง: มักเป็นอาการเริ่มแรกที่ผู้ป่วยจะสังเกตได้
  • หายใจลำบาก: เกิดจากการที่ก้อนมะเร็งไปกดทับทางเดินหายใจหรือแพร่กระจายไปยังปอดข้างเคียง
  • เจ็บหน้าอก: อาการเจ็บมักเกิดขึ้นจากการที่ก้อนมะเร็งขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนกดทับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อรอบข้าง
  • เสียงแหบ: เกิดจากการที่เส้นประสาทที่ควบคุมกล่องเสียงถูกก้อนมะเร็งกดทับ
  • น้ำหนักลด: การมีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนอาหารหรือกิจวัตรประจำวัน
  • ปวดกระดูก: มะเร็งปอดสามารถแพร่กระจายไปยังกระดูก ทำให้เกิดอาการปวดตามกระดูกบริเวณที่มะเร็งแพร่กระจายไป
  • ปวดศีรษะหรืออาการทางระบบประสาทอื่น ๆ: หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังสมอง อาจทำให้เกิดอาการ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรืออาการทางประสาทอื่น ๆ

มะเร็งปอดรักษาหายไหม?


การจะตอบคำถามว่า “มะเร็งปอดรักษาหายไหม?” นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การรักษามะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบ และรีบรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ทั้งนี้ผลการการรักษามะเร็งปอดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้


  • ระยะของมะเร็งปอด
    • มะเร็งปอดระยะเริ่มต้น: หากตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น การรักษาด้วยการผ่าตัดหรือการรักษาเฉพาะจุดเช่นการฉายแสงหรือการใช้เคมีบำบัดมีโอกาสทำให้มะเร็งหายขาดได้สูง
    • มะเร็งปอดระยะลุกลาม: สำหรับมะเร็งปอดที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ แล้ว การรักษาอาจเน้นที่การควบคุมโรค ลดอาการ และยืดอายุของผู้ป่วยมากกว่าการรักษาให้หายขาด
  • ชนิดของมะเร็ง
    • มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC): มักแพร่กระจายเร็วและมีการตอบสนองต่อเคมีบำบัดและการฉายแสงดี แต่ภายหลังการรักษาอาจพบการเป็นซ้ำได้อีก
    • มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (NSCLC): มีแนวทางการรักษาที่หลากหลายกว่าและมีโอกาสในการรักษาให้หายขาดมากกว่า โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น
  • สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย
    • การรักษามะเร็งต้องอาศัยความแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนั้นผู้ป่วยที่มีสุขภาพดีและแข็งแรงจึงมีโอกาสในการรักษาหายขาดมากกว่า

แนวทางการรักษามะเร็งปอด


การรักษามะเร็งปอดสามารถทำได้หลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน โดยแนวทางการรักษามีดังนี้


  1. การผ่าตัด (Surgery): เหมาะสำหรับมะเร็งปอดในระยะแรก ซึ่งก้อนมะเร็งยังไม่แพร่กระจาย การผ่าตัดอาจตัดเฉพาะส่วนที่มีก้อนมะเร็งออก หรือบางครั้งอาจตัดปอดทั้งข้างออก
  2. การฉายแสง (Radiation Therapy): ใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ การฉายแสงจะสามารถลดขนาดของก้อนมะเร็งและควบคุมการแพร่กระจายของมะเร็งได้
  3. เคมีบำบัด (Chemotherapy): ใช้ยาเคมีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย โดยเฉพาะมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เคมีบำบัดมักใช้ร่วมกับการฉายแสงหรือการผ่าตัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
  4. ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): เป็นการรักษาที่ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการโจมตีเซลล์มะเร็ง เป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าและมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยบางราย
  5. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): เป็นการรักษาด้วยยาที่เฉพาะเจาะจงกับชนิดของเซลล์มะเร็ง เป็นการโจมตีเฉพาะเซลล์มะเร็งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจง ทำให้ลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการรักษาแบบทั่วไป
  6. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care): สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้าย การดูแลแบบประคับประคองจะเน้นที่การบรรเทาอาการเจ็บปวด และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

สรุป


การจะตอบคำถามว่า “มะเร็งปอดรักษาหายไหม” นั้น คำตอบของคำถามนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของโรค ประเภทของมะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยทั่วไป หากมะเร็งปอดถูกตรวจพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาให้หายขาดก็จะสูงกว่า โดยการรักษามะเร็งปอดนั้นมีหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด การฉายแสง เคมีบำบัด และภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งการเลือกวิธีที่เหมาะสมแพทย์ต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยข้างต้น


การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด เช่น การทำเอกซเรย์ปอดหรือซีทีสแกน (CT scan) สามารถช่วยในการตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ แม้ว่าจะไม่มีอาการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นอีกวิธีที่สำคัญในการติดตามสภาพร่างกายและตรวจเช็กปัญหาสุขภาพ รวมถึงโรคมะเร็งปอดด้วย ดังนั้นการเข้าใจความเสี่ยงและการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับมะเร็งปอด

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

ตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านม

การคลำเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ ช่วยให้เราสังเกตเห็นสัญญาณผิดปกติของมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรก ๆ วิธีการคลำเต้านมทำง่ายๆได้ด้วยตัวเองดังนี้

มะเร็ง โรคที่ใครก็ไม่อยากเจอ

มะเร็งโรคที่ใครก็ไม่อยากเจอ มะเร็ง หรือ เนื้องอกร้าย เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย กล่าวคือจะมีการแบ่งตัวของเซลล์อย่างควบคุมไม่ได้จนกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะในส่วนต่างๆ ของร่าง

ตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านมก่อนจะลุกลาม

การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำ ด้วยการทำแมมโมแกรม และอัลตร้าซาวด์

มะเร็ง…รู้เร็ว รักษาได้ ผลลัพธ์ดี

โรคมะเร็งคือการเกิดเซลล์ผิดปกติที่เติบโตอย่างไม่ปกติและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย สาเหตุส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรมหรือปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับหรือสัมผัสสารเคมี การควบคุมปัจจัยเสี่ยงและการตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็ง

การตรวจยีนมะเร็ง ค้นหาความเสี่ยงเพื่อการป้องกันโรคมะเร็ง

การตรวจยีนมะเร็งเป็นเทคโนโลยีในการประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของตนเอง ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งมาก่อน หรือผู้ที่มีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคมะเร็ง การตรวจยีนมะเร็งยังสามารถช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมได้

ตรวจเลือดมะเร็ง ตรวจอย่างไร บอกอะไรได้บ้าง?

การตรวจเลือดมะเร็งเป็นการตรวจที่สามารถตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ การตรวจเลือดมะเร็งเป็นวิธีที่สะดวกและเจ็บตัวน้อยสำหรับการตรวจหามะเร็งเบื้องต้น

รักษาโรคมะเร็งวิธีใหม่ ด้วยภูมิต้านทาน

(น.พ.วิโรจน์ เหล่าสุนทรสิริ) ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความรู้ใหม่ๆ และยารุ่นใหม่ที่ ถูกนำมาใช้เพื่อประสิทธิผลการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีมากขึ้น ยาเดิมๆ ที่เคยใช้อยู่ก็กำลังเริ่มใช้น้อยลง ขณะ เดียวกันยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เริ่มแสดงบทบาทสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้อย่างชัดเจนขึ้น ความหลากหลายของการรักษาโรคเหล่านี้มีมากก็จริงอยู่ แต่ที่แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ ถึง หรือฝากความหวังว่า “การเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย” อาจจะมีประสิทธิผลใน การรักษาโรคมะเร็งให้หาย หรือรักษาให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวออกไปได้ การรักษาเหล่านี้มักจะมีผลข้าง เคียงน้อยลง แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มะเร็งเต้านม มฤตยูเงียบ

จากข้อมูลระบาดวิทยาของมะเร็งเต้านม พบอุบัติการณ์มากอันดับแรกในหญิงไทยและหญิงทั่วโลก และสามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ผู้ป่วยส่วนมากมักพบโรคในช่วงอายุ 50-60 ปี โดยแตกต่างกันตามเชื้อชาติ สำหรับข้อมูลในประเทศไทยพบมากในช่วงอายุ 45-50 ปี ซึ

ตรวจคัดกรองมะเร็ง…กันไว้ดีกว่าแก้

“กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถ้าแย่เดี๋ยวจะแก้ไม่ทัน” สุภาษิตโบราณนี้เข้ากับทุกยุคสมัย โดยเฉพาะแนว นิยมด้านสุขภาพในปัจจุบันที่เน้นเชิงป้องกันมากขึ้น ทั้งการออกกําลังกาย อาหารการกิน อาหารเสริม และการตรวจสุขภาพประจําปี หนึ่งในหัวข้อสําคัญ สําหรับการ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital