บทความสุขภาพ

Knowledge

TAVI การเปลี่ยนผ่าตัดลิ้นหัวใจแบบสายสวน มีข้อดีอย่างไร?

TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) การรักษาลิ้นหัวใจตีบผ่านทางสายสวน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์วิธีใหม่ที่ช่วยรักษาภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (aortic stenosis) ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ภาวะนี้ทำให้ลิ้นหัวใจเอออร์ติก (ซึ่งกั้นระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายกับหลอดเลือดแดงใหญ่) ไม่สามารถเปิดได้เต็มที่ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลออกจากหัวใจไปยังอวัยวะอื่น ๆ ได้อย่างเพียงพอ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้


TAVI คือการรักษาที่ช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่เหมาะกับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดหน้าอก


TAVI คืออะไร?

TAVI เป็นวิธีการรักษาโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ โดยการใช้ลิ้นหัวใจเทียมไปใส่แทนที่ลิ้นหัวใจที่ตีบ โดยแพทย์จะสอดลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแทนที่ลิ้นหัวใจเดิม การรักษานี้ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ซึ่งลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดใหญ่และช่วยให้ฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่า


  • วิธีการทำงาน: การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้สายสวนที่มีลิ้นหัวใจเทียมติดอยู่ สอดผ่านหลอดเลือดที่บริเวณขาหนีบ สายสวนจะนำลิ้นหัวใจใหม่ไปยังตำแหน่งของลิ้นหัวใจที่ตีบ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการขยายลิ้นหัวใจเทียมให้ทำงานแทนที่ลิ้นหัวใจเดิมที่ตีบ

อาการของผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Stenosis)

โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบเป็นโรคหัวใจชนิดหนึ่งที่เกิดจากการที่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเสื่อมหรือเกิดการสะสมของแคลเซียมที่ลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิดได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนจากหัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ อาการของผู้ป่วยจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของการตีบ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่


  • เหนื่อยง่าย (Fatigue)

ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติ เช่น เดินขึ้นบันไดหรือทำกิจวัตรประจำวันธรรมดาก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยผิดปกติได้ อาการนี้เกิดจากที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ และทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย

  • เจ็บหน้าอก (Chest Pain หรือ Angina)

อาการเจ็บหน้าอกจะเกิดขึ้นเมื่อหัวใจทำงานหนัก เช่น ตอนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมาก อาการเจ็บหน้าอกนี้จะรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือแน่นที่หน้าอก และบางครั้งอาจเจ็บร้าวไปถึงแขน คอ หรือกราม อาการนี้คล้ายกับอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • เป็นลมหรือหมดสติ (Syncope)

เมื่อหัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ อาจทำให้ผู้ป่วยเป็นลมหรือหมดสติได้ โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น ออกกำลังกาย

  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ อาการนี้เกิดจากระบบการนำไฟฟ้าของหัวใจที่ทำงานผิดปกติไป

  • หายใจลำบาก (Shortness of Breath)

อาการหายใจไม่อิ่ม หรือหายใจลำบากเป็นผลจากการที่เลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายได้ดี ทำให้เลือดคั่งอยู่ในปอด โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ ผู้ป่วยอาจรู้สึกหายใจไม่อิ่ม ต้องลุกขึ้นนั่งหรือยืนเพื่อหายใจให้สะดวก

  • บวมน้ำ (Edema)

ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมน้ำ โดยเฉพาะที่ขา ข้อเท้า และเท้า เนื่องจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดกลับไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เลือดคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำ ทำให้มีการสะสมของของเหลวในเนื้อเยื่อของร่างกาย อาการบวมนี้มักเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ


อาการเหล่านี้มักเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นตามระยะเวลาที่ลิ้นหัวใจมีการตีบมากขึ้น ผู้ที่สงสัยว่าตนเองกำลังมีอาการของลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม


ข้อดีของ TAVI เมื่อเทียบกับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดหน้าอก

TAVI เป็นวิธีการรักษาลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบที่มีข้อดีหลายอย่างเมื่อเทียบกับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดหน้าอก (Open-Heart Surgery) ดังนี้


  • ลดการบาดเจ็บและฟื้นตัวเร็วกว่า

เนื่องจากการทำ TAVI ไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก แต่ใช้วิธีการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดไปยังหัวใจ ทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัดและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่า

  • เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด

ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค หรือมีสภาวะสุขภาพที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดใหญ่ เช่น โรคปอด โรคไต หรือภาวะอื่น ๆ จะมีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัดแบบเปิด การทำ TAVI เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่าในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้

  • ลดระยะเวลาการพักฟื้นในโรงพยาบาล

เนื่องจาก TAVI เป็นการผ่าตัดที่ไม่ต้องเปิดหน้าอกและทำผ่านหลอดเลือด จึงใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยกว่า บางครั้งผู้ป่วยอาจต้องพักเพียงไม่กี่วันเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดที่อาจต้องพักฟื้นเป็นสัปดาห์

  • ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน

การทำ TAVI มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด เช่น ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ เนื่องจากการทำ TAVI เป็นการสอดสายสวนผ่านผิวหนังซึ่งลดการสัมผัสกับอวัยวะภายใน

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยาสลบ

ผู้ป่วยบางรายอาจไม่สามารถใช้ยาดมสลบได้ ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่เหมาะกับการรักษาแบบผ่าตัดเปิดหน้าอกที่จำเป็นต้องใช้ยาดมสลบ การทำ TAVI สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะจุด ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยาดมสลบเหมือนการผ่าตัดแบบเปิดหน้าอก

  • ลดผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ

การผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกมักต้องหยุดการทำงานของหัวใจชั่วคราวและใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมเพื่อสูบฉีดเลือดแทนหัวใจ แต่การทำ TAVI ไม่ต้องหยุดการทำงานของหัวใจ ซึ่งช่วยลดผลกระทบของการหยุดหัวใจต่อระบบไหลเวียนเลือด


ใครบ้างที่เหมาะสำหรับการรักษาด้วย TAVI

ผู้ที่เหมาะสำหรับการรักษาด้วย TAVI จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้หรือมีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดแบบเปิด ได้แก่


  • ผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมักจะมีความเสี่ยงสูงสำหรับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าคนหนุ่มสาว และการฟื้นตัวหลังการรักษาช้ากว่า การรักษาด้วย TAVI เป็นการรักษาที่ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวเร็วกว่า บาดเจ็บน้อยกว่า ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคลิ้นหัวใจตีบในผู้ป่วยกลุ่มนี้

  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวรุนแรง

ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจอื่น ๆ จะมีความเสี่ยงสูงเมื่อเข้ารับการผ่าตัดแบบเปิด TAVI เป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัด และช่วยให้ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

  • ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจอ่อนแอหรือภาวะหัวใจล้มเหลว

ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจอ่อนแอมีความเสี่ยงสูงหากต้องรับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด TAVI จะช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถรับการรักษาโดยไม่ต้องผ่านการหยุดการทำงานของหัวใจ ซึ่งอาจมีผลทำให้หัวใจทำงานแย่ลง

  • ผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาดมสลบได้

การผ่าตัดหัวใจแบบเปิดจำเป็นต้องใช้ยาดมสลบแบบทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงสูง TAVI เป็นการรักษาที่สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะจุด จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาดมสลบได้

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าอก

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

  • ผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดหัวใจมาก่อน

สำหรับผู้ป่วยที่เคยผ่านการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดมาแล้ว การผ่าตัดซ้ำจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น TAVI จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดซ้ำได้


อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่จะรับการรักษาด้วย TAVI ควรได้รับการประเมินจากแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมทั้งทางด้านสภาพร่างกายและความซับซ้อนของโรค รวมไปถึงความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ


ขั้นตอนการรักษาด้วย TAVI

การเตรียมตัวก่อนการรักษา


  • การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น: แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจจะพิจารณาให้ผู้ป่วยตรวจพิเศษด้านโรคหัวใจต่าง ๆ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์หัวใจ (Echocardiogram) การฉีดสีเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ (Angiogram) การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ (Cardiac CT scan) หรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac MRI) เพื่อประเมินสภาพของลิ้นหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงประเมินขนาด ตำแหน่งของลิ้นหัวใจ และความเหมาะสมของการรักษาด้วย TAVI
  • ประเมินความพร้อมของร่างกาย: แพทย์จะตรวจสอบความพร้อมของร่างกายผู้ป่วยโดยคำนึงถึงอายุ สภาพร่างกาย โรคประจำตัว และความเสี่ยงในการรักษา เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคเบาหวาน
  • การเตรียมตัวก่อนการรักษา: ผู้ป่วยอาจได้รับคำแนะนำในการหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อการรักษา รวมถึงการงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด

ขั้นตอนการรักษา


  • ให้ยาชาหรือยาสลบ: ผู้ป่วยจะได้รับยาชาเฉพาะจุดหรือยาสลบ (ขึ้นอยู่กับกรณี) เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บระหว่างการรักษา
  • สอดสายสวน (Catheter) เข้าสู่หลอดเลือด: แพทย์จะทำการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ (หรือในบางกรณีอาจผ่านหลอดเลือดแดงที่หน้าอกหรือแขน) ขึ้นไปยังลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ตีบ
  • ทำการขยายลิ้นหัวใจที่ตีบ: เมื่อสายสวนถึงลิ้นหัวใจที่ตีบ แพทย์จะใช้ลูกโป่ง (Balloon) เพื่อขยายลิ้นหัวใจให้เปิดกว้างมากขึ้น
  • ใส่ลิ้นหัวใจเทียม: หลังจากขยายลิ้นหัวใจแล้ว แพทย์จะสอดลิ้นหัวใจเทียมที่อยู่ในสายสวนเข้าไปและวางทับลิ้นหัวใจเดิม ลิ้นหัวใจเทียมนี้จะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่แพทย์วางทับลิ้นหัวใจเดิม
  • ตรวจสอบผลการรักษา: แพทย์จะตรวจสอบการทำงานของลิ้นหัวใจเทียมด้วยการฉายภาพเอ็กซ์เรย์หรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวนด์หัวใจ) เพื่อให้แน่ใจว่าลิ้นหัวใจใหม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และทำงานได้ดี

การดูแลหลังการรักษา


  • การพักฟื้นในโรงพยาบาล: ผู้ป่วยจะถูกเฝ้าระวังในห้องพักฟื้นเพื่อดูแลอาการและเช็กการทำงานของหัวใจหลังจากการรักษา โดยอาจต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2-5 วัน
  • การรับประทานยา: แพทย์อาจให้ยาลดการอักเสบและยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในลิ้นหัวใจเทียม ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาควบคุมการเต้นของหัวใจ
  • การดูแลแผล: รักษาความสะอาดของแผลบริเวณที่สอดสายสวนและสังเกตอาการบวม แดง หรือเจ็บบริเวณแผล หากพบความผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • การดูแลร่างกายและการพักฟื้นที่บ้าน: หลังออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรืองานที่ต้องใช้แรงมาก และควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างเต็มที่
  • การติดตามผล: ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจสุขภาพหัวใจและประเมินการทำงานของลิ้นหัวใจเทียมอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะต้องมีการทำการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวนด์หัวใจ) หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นระยะ ๆ
  • การออกกำลังกาย: หลังการฟื้นตัวแพทย์อาจแนะนำการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน หรือทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารที่มีโซเดียมสูงเพื่อรักษาสุขภาพหัวใจและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว และยืดอายุของลิ้นหัวใจเทียม

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ TAVI มีดังนี้


  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ: การทำ TAVI อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  • เลือดออกหรือการติดเชื้อ: ที่บริเวณใส่สายสวน เช่น บริเวณขาหนีบ อาจมีเลือดออก ฟกช้ำ หรือเกิดการติดเชื้อได้ แต่ส่วนใหญ่แพทย์มักใช้ยาปฏิชีวนะในการป้องกันและรักษาการติดเชื้อ หากมีกรณีมีการติดเชื้อเกิดขึ้น
  • ลิ่มเลือดและเส้นเลือดสมองตีบ (Stroke): มีโอกาสเกิดลิ่มเลือดซึ่งอาจทำให้เส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบได้บ้าง แม้ว่าโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้จะไม่สูงมากนัก
  • ปัญหากับไต: สารทึบรังสีที่ใช้ในการถ่ายภาพอาจทำให้ไตทำงานผิดปกติในช่วงแรก ๆ หลังการทำ TAVI ซึ่งส่วนใหญ่มักพบในวันแรก ๆ หลังการรักษา และอาการจะดีขึ้นเอง
  • หัวใจวาย (Heart Attack): เกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็มีโอกาสเกิดหัวใจวายขณะทำหัตถการได้
  • ลิ้นหัวใจเทียมเลื่อน: ลิ้นหัวใจที่ใส่อาจเลื่อนออกจากตำแหน่ง ซึ่งหากเกิดขึ้นอาจต้องมีการแก้ไขหรือทำการผ่าตัดซ้ำ
  • หลอดเลือดเสียหาย: การใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดอาจทำให้หลอดเลือดได้รับความเสียหาย แต่กรณีนี้พบได้ไม่บ่อยนัก

สรุป

การรักษาด้วย TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) เป็นวิธีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ตีบแคบโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหัวใจ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่สามารถผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกได้ การทำ TAVI จะช่วยลดอาการเหนื่อย เจ็บหน้าอก และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ และช่วยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น


อย่างไรก็ตาม การทำ TAVI มีความซับซ้อนและต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญการเฉพาะด้านหัวใจและการใช้สายสวนหัวใจ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ การเกิดลิ่มเลือด และการเกิดความเสียหายต่อหลอดเลือด การประเมินความเสี่ยง ความเหมาะสม และปัจจัยอื่น ๆ อย่างรอบด้าน จะทำให้การรักษาด้วย TAVI มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น


บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ปัสสาวะบ่อย ไม่ใช่เรื่องเล็ก เสี่ยงโรคอันตรายบั่นทอนคุณภาพชีวิต

ปัสสาวะบ่อยเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่การดื่มน้ำหรือของเหลวในปริมาณมาก ได้รับคาเฟอีนมาก การใช้ยา ไปจนถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินปัสสาวะ เรียนรู้ในบทความนี้!

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน ทางเลือกรักษาข้อเข่าเสื่อม แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน หรือ UKA เป็นการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยเอาผิวข้อเฉพาะส่วนที่สึกหรอออก และเก็บผิวข้อเข่าส่วนที่ยังมีสภาพดีไว้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวนาน ในการกลับไปใช้ข้อเข่าได้เหมือนธรรมชาติ

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital