บทความสุขภาพ

Knowledge

ภูมิแพ้แบบไหนที่ควรไปหาหมอ?

ภูมิแพ้ (allergy) เป็นภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารที่ปกติไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคนทั่วไป แต่บางคนอาจทำให้เกิดอาการแพ้ โดยสารเหล่านี้เรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” เช่น ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด และสารเคมีต่าง ๆ อาการภูมิแพ้สามารถแสดงออกได้หลากหลาย ตั้งแต่คัน จาม น้ำมูกไหล ไปจนถึงหอบหืดหรือปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis) แม้ว่าอาการภูมิแพ้บางครั้งจะไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีก็อาจต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ แล้วภูมิแพ้แบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?


ภูมิแพ้มีชนิดไหนบ้าง?


ก่อนที่จะทราบว่าอาการภูมิแพ้ที่ควรไปพบแพทย์ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของภูมิแพ้ที่พบได้ทั่วไป ดังนี้


1. ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ


ภูมิแพ้ชนิดนี้เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการจาม น้ำมูกไหล คันตา คันจมูก และหอบหืด


2. ภูมิแพ้ผิวหนัง


ภูมิแพ้ผิวหนังมักเกิดจากการสัมผัสกับสารเคมีในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สบู่ แชมพู ครีม โลชั่น หรือจากอาหารที่รับประทาน ทำให้เกิดผื่นคัน แดง หรือบวมที่ผิวหนัง


3. ภูมิแพ้อาหาร


ภูมิแพ้อาหารเกิดจากการรับประทานอาหารที่ร่างกายเกิดปฏิกริยาภูมิแพ้ เช่น ถั่วลิสง นม ไข่ อาหารทะเล ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง อาเจียน หรืออาการแพ้ที่รุนแรงกว่า


4. ภูมิแพ้แมลงกัดต่อย


ภูมิแพ้ชนิดนี้เกิดจากการถูกแมลงกัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน ทำให้เกิดอาการบวม แดง ปวดบริเวณที่ถูกกัด และในบางกรณีอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้


5. ภูมิแพ้ยา


ภูมิแพ้ยามักเกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ซึ่งสามารถทำให้เกิดผื่นคัน บวม แดง หรืออาการแพ้ที่รุนแรงเฉียบพลันรุนแรงได้


อาการภูมิแพ้แบบไหนที่ควรไปพบแพทย์


1. อาการหอบหืดหรือหายใจลำบาก


หากมีอาการหายใจลำบาก แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจเสียงหวีด อาจเป็นสัญญาณของหอบหืดจากภูมิแพ้ การหายใจที่ลำบากเป็นสัญญาณเตือนที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที หอบหืดจากภูมิแพ้สามารถทำให้ทางเดินหายใจบีบตัวอย่างรุนแรง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


2. ผื่นผิวหนังที่ไม่หายไปหรือแย่ลง


หากมีผื่นแดง คัน บวมที่ผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผื่นนี้ไม่หายไปเองภายในไม่กี่วัน หรือมีการขยายขนาดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ผื่นที่ไม่หายไปหรือแย่ลงอาจเป็นสัญญาณของปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง หรืออาจเกี่ยวข้องกับภาวะทางการแพทย์อื่น ๆ


3. อาการภูมิแพ้รุนแรง (anaphylaxis)


อาการนี้เป็นอาการแพ้รุนแรงที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ มีอาการเช่น หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ วิงเวียน วูบหรือหมดสติ ภาวะนี้ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลทันที การป้องกันการเกิดภาวะนี้คือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้


4. อาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ และรบกวนชีวิตประจำวัน


หากมีอาการจาม น้ำมูกไหล คันตา หรือคันจมูกที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการจัดการกับอาการภูมิแพ้ การได้รับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันไม่ให้เกิดอาการภูมิแพ้ซ้ำ ๆ ได้


5. อาการแพ้อาหารที่ไม่ทราบสาเหตุ


หากสงสัยว่ามีอาการแพ้อาหาร เช่น มีผื่นขึ้น ปวดท้อง ท้องเสีย หรือหายใจลำบากหลังจากรับประทานอาหาร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบและวินิจฉัย แพทย์จะทำการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังหรือทดสอบเลือดเพื่อหาสาเหตุและแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้


เตรียมตัวอย่างไรก่อนพบแพทย์


เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษามีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยควรเตรียมตัวก่อนพบแพทย์ ดังนี้


บันทึกอาการและระยะเวลา


จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้น ระยะเวลาที่เกิด กระตุ้นที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ เช่น อาหารที่รับประทานหรือกิจกรรมที่ทำ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยและหาสาเหตุของอาการภูมิแพ้ได้แม่นยำขึ้น


รายการยาที่ใช้


นำรายการยาที่ใช้ปัจจุบันรวมถึงยาที่ใช้เป็นประจำไปด้วย เพื่อให้แพทย์ทราบข้อมูลที่จำเป็นในการวินิจฉัย การแจ้งข้อมูลยาที่ใช้จะช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้จากยาที่แพ้ได้


ข้อมูลประวัติการแพ้ในครอบครัว


หากมีประวัติการแพ้ในครอบครัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา การมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้มากขึ้น


นำข้อมูลจากการทดสอบภูมิแพ้ก่อนหน้า (ถ้ามี)


หากเคยทำการทดสอบภูมิแพ้มาก่อน เช่น การทดสอบทางผิวหนังหรือการทดสอบเลือด ควรนำผลการทดสอบไปให้แพทย์ดูด้วย เพื่อช่วยในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม


ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ควรดูแลตัวเองอย่างไร?


  1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น ละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ อาหารบางประเภท โดยพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งกระตุ้นเหล่านั้น
  2. ทำความสะอาดบ้านและสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ เช่น ดูดฝุ่น ปัดกวาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ล้างผ้าม่าน พรม
  3. หมั่นดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย
  4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรืออยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่ เพราะจะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้รุนแรงขึ้นได้
  5. หากมีอาการกำเริบ ให้รีบรับประทานยาแก้แพ้หรือยาพ่นจมูกตามคำแนะนำของแพทย์
  6. ติดตามและปรึกษาแพทย์เป็นประจำ เพื่อประเมินควบคุมอาการให้อยู่ในระดับที่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ
  7. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจไม่ออก หน้าบวม ควรรีบพบแพทย์ทันที

สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโรคภูมิแพ้ โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ควบคุมอาการ และปฏิบัติตนเพื่อเสริมสร้างและสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ


สรุป


ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้จำเป็นต้องดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อาการเล็กน้อย ไม่รุนแรงมากนัก จนถึงขั้นมีอาการหนัก เช่น หอบหืด ผื่นคันที่ไม่หายไป หรืออาการแพ้อาหารบางชนิดที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้


หากพบว่าตนเองมีอาการภูมิแพ้รุนแรง หรือมีอาการที่รบกวนต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับการรักษาที่เหมาะสม การดูแลและจัดการภูมิแพ้ให้ดีจะช่วยให้ชีวิตประจำวันเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสุขสบายมากขึ้น


หากมีอาการที่น่าสงสัย หรือมีข้อกังวลเกี่ยวกับอาการเบาหวาน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอาการเพิ่มเติม


ปรึกษาอาการเบื้องต้นได้เลย เพื่อสุขภาพของคุณ

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (2)

ดูทั้งหมด

โปรแกรมตรวจเลือดหาภูมิแพ้อากาศและสิ่งแวดล้อม 20 ชนิด

โปรแกรมตรวจเลือดหาภูมิแพ้อากาศและสิ่งแวดล้อม 20 ชนิด

ตรวจเลือดหาภูมิแพ้อากาศและสิ่งแวดล้อม 20 ชนิด

฿ 4,290

โปรแกรมตรวจเลือดหาสารก่อภูมิแพ้ 36 ชนิด

โปรแกรมตรวจเลือดหาสารก่อภูมิแพ้ 36 ชนิด

ตรวจเลือดหาสารก่อภูมิแพ้ 36 ชนิด

฿ 4,990

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

“ภูมิแพ้ผิวหนัง” จัดการได้

โรคภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคภูมิแพ้ของผิวหนังทำให้ผิวหนังอักเสบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ อาการมักพบบ่อยในวัยเด็ก และหากมีอาการคันรุนแรง อาจมีการติดเชื้อที่ผิวหนังแทรกซ้อนได้ การป้องกัน หลีกเลี่ยงปัจจัยและสารที่ทำให้แพ้ จะป้องกันอาการภูมิแพ้ผิวหนังได้

การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ในช่วง covid-19 ระบาด

ในช่วงที่โรค COVID-19 ระบาดนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะมีความกังวลใจกว่าสภาวะปกติ เมื่ออาการของโรคภูมิแพ้กำเริบ โดยมักจะกังวลว่าเป็นอาการของโรค COVID-19 หรือเปล่า

รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ

โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคร้ายแรง เพราะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้บรรเทาลงจนคุณรู้สึกดีขึ้นเหมือนเป็นปกติได้ หากได้รับการรักษาและมีการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง โรคภูมิแพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล และโรคภูมิแพ้ชนิดตลอดปี

ภูมิแพ้…โรคยอดฮิตของคนยุคนี้!

โรคภูมิเเพ้ คือการตอบสนองของร่างกายที่ไวเกินต่อสารก่อภูมิเเพ้ ทำให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ เราสามารถทราบสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้จากการทดสอบภูมิแพ้ และควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิเเพ้ ดูเเลสุขภาพให้เเข็งเเรง หากมีอาการเเพ้รุนเเรงควรรีบไปพบเเพทย์ทันทีเพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจในเด็ก เรื่องไม่เล็ก ที่พบได้บ่อย

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจจัดว่าพบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงเป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สังคมมีความเป็นเมืองมากขึ้นมีปัญหามลภาวะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ปัญหาของโร

รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ ตอนที่1

โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคร้ายแรง เพราะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้บรรเทาลงจนคุณรู้สึกดีขึ้นเหมือนเป็นปกติได้ หากได้รับการรักษาและมีการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง โรคภูมิแพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล และโรคภูมิแพ้ชนิดตลอดปี อาการที่มักพบอยู่เสมอในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ได้แก่ จาม คัดจมูก ตา หู และลำคอ มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาบ่อยๆ รู้สึกคัดจมูก ตาแดง และมีน้ำตาไหล นอกจากนี้ยังอาจมีอาการเจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณคาง และหน้าผากร่วมด้วย หากคุณมีอาการต่างๆ เหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย และกำหนดวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ที่เหมาะที่สุด เพราะหากปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็น โรคไซนัส และโพรงหลังจมูกอักเสบได้

รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ ตอนที่2

การรักษาโรคภูมิแพ้ การรักษาด้วยยา ยารักษาโรคภูมิแพ้หลายชนิดเป็นยาสามัญที่คุณสามารถหาซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไป แต่ยารักษาโรคภูมิแพ้บางอย่างก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายให้ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้ยาสามัญหรือสั่งจ่ายยาเฉพาะให้ หรือทั้งสองอย่างการรักษาด้วยยาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้อย่างถูกต้องตามที่แพทย์แนะนำ 1. ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ยาแก้แพ้เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยป้องกันไม่ให้ Histamineรบกวนเยื่อบุช่องจมูก จึงช่วยป้องกันอาการต่างๆ เช่น การจาม คันจมูก และมีน้ำมูกไหล คุณอาจซื้อยาแก้แพ้เองได้ โดยไม่ต้องให้แพทย์สั่ง แต่ยาเหล่านี้อาจทำให้ง่วงนอนได้ ส่วนยาแก้แพ้ที่ไม่ทำให้ง่วงนอนนั้น ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายให้หรือปรึกษาเภสัชกร ยาแก้แพ้ป้องกัน Histamine ไม่ให้รบกวนเยื่อบุช่องจมูก ลดการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล

ไขข้อสงสัย โรคภูมิแพ้ลำไส้ตัวเอง ที่เรียกว่า IBD ทำไมต้องทรมาน และ ลาออก

Inflammatory Bowel Disease (IBD) เป็นกลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถจำแนกโรคออกได้ 2 โรค คือ Ulcerative Colitis (UC) และ Crohn’s disease จากกรณี นายกญี่ปุ่น Prime Minister Shinzo Abe พอทราบข่าวว่า โรค Ulcerative colitis

โรคภูมิแพ้ในเด็ก เป็นอย่างไร?

ปัจจุบันปัญหาโรคภูมิแพ้ในเด็กพบมากขึ้นทุกวัน นำมาซึ่งความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก เพราะภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความไวต่อสารกระตุ้นบางอย่างมากกว่าปกติ ซึ่งก็คือสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง ทำให้เกิดอาการผิด

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital