บทความสุขภาพ

Knowledge

คุณแม่ตั้งครรภ์กับการออกกำลังกาย

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านมักประสบกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากมายที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเหลีย ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ท้อง ขนาดครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นจนทำให้อึดอัด ปวดหลัง ปวดขา ปวดอุ้งเชิงกราน ปวดข้อ เท้าบวม และอีกสารพัดความไม่สบายตัวที่มาทำให้เหล่าคุณแม่ตั้งครรภ์แทบไม่อยากจะขยับเนื้อขยับตัว เพราะแค่อยู่เฉย ๆ ก็ลำบากจะแย่แล้ว ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์หลาย ๆ คนไม่อยากออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย แต่ทราบหรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วการออกกำลังกายนั้นกลับเป็นตัวช่วยสำคัญที่สุดที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้และยังเป็นประโยชน์กับทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย



คุณแม่ตั้งครรภ์ออกกําลังกายได้ไหม?


คุณแม่มักมีความกังวลว่าการออกกำลังกายจะไม่ปลอดภัยกับทารกในครรภ์ แต่จากข้อมูลของ วิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (The American College of Obstetricians and Gynecologists; ACOG) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกกำลังกายในหญิงตั้งครรภ์ว่า สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์แล้ว และมีสุขภาพร่างกายปกติดีทั้งในแม่และทารกในครรภ์ การออกกำลังกายที่เหมาะสมในทุกช่วงอายุครรภ์จะไม่ทำให้เกิดการแท้ง ไม่ทำให้ทารกตัวเล็กกว่าเกณฑ์ และไม่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ดังนั้น สูตินรีแพทย์จึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายที่เหมาะสมมีประโยชน์กับทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์ ทั้งนี้ควรอยู่ในการดูแลและแนะนำของแพทย์



ประโยชน์ของการออกกำลังกายในคนท้อง


การออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้ และยังช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยประโยชน์ของการออกกำลังกายในคนท้องมีดังต่อไปนี้


  • ทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นสบายตัว กระฉับกระเฉง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเลือดไหลเวียนดีขึ้น และส่งผลดีต่อทารกในครรภ์ด้วย
  • ช่วยลดความเครียดของคุณแม่ได้
  • ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่ผูกหรือมีท้องผูกน้อยลง เพราะระบบย่อยอาหารจะทำงานดีขึ้น
  • การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นฮอร์โมนอะดรีนาลิน และ ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน จากแม่ซึ่งช่วยให้ทารกในครรภ์กระปรี้กระเปร่าและมีความสุข เหมือนกับคุณแม่ที่ออกกำลังกาย
  • ลดโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (pre-eclampsia)
  • ลดโอกาสเกิดความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ (gestational hypertension)
  • ลดโอกาสเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes)
  • ช่วยให้คลอดง่าย ลดโอกาสการผ่าคลอดหรือการใช้เครื่องมือช่วยคลอด
  • ลดโอกาสเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทั้งในขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด
  • ลดอาการปวดหลังและอุ้งเชิงกราน
  • ลดโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าขณะตั้งครรภ์
  • ช่วยไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากจนเกินไปขณะตั้งครรภ์
  • ช่วยไม่ให้น้ำหนักค้างเติ่งหลังคลอด การออกกำลังกายร่วมกับการให้นมบุตรจะช่วยให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ลดลง และรูปร่างกลับมาสู่ร่างเดิมก่อนการตั้งครรภ์


คนท้องควรออกกําลังกายอย่างไร?


การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคุณแม่ตั้งครรภ์


  1. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่สุขภาพร่างกายปกติดี ครรภ์และทารกไม่มีความผิดปกติ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงการตั้งครรภ์
  2. คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีการออกกำลังกายระดับปานกลาง (moderate intensity) โดยรวมสัปดาห์ละ 150 นาที โดยควรแบ่งกระจายการออกกำลังกายเป็นอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และหากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 20 นาที จะให้ผลดีที่สุด โดยหากไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำมาก่อน ควรเริ่มแต่น้อย อาจจะเริ่มจาก 5 นาทีแล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ จนถึงกว่าจะถึงเป้าหมาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการหักโหมอย่างทันทีทันใด
  3. การออกกำลังกายระดับปานกลางสามารถประเมินได้จากการพูด คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะสามารถพูดคุยเป็นประโยคในขณะออกกำลังกายได้ ไม่หอบเหนื่อยจนพูดได้เพียงเป็นคำ ๆ หรือต้องหยุดเพื่อหายใจ
  4. ไม่กดดันร่างกายจนเกินไป ควรออกกำลังกายเท่าที่รู้สึกว่าทำได้ หากมีอาการแพ้ท้องรุนแรง อ่อนเพลียมาก รู้สึกไม่ไหว อย่าฝืน ควรเลื่อนการออกกำลังกายออกไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้หายใจไม่ทัน หน้ามืด เสี่ยงต่อโรคลมแดด หรือท่าออกกำลังกายที่ต้องนอนหงายหลัง

นอกจากนี้คุณพ่อและสมาชิกในครอบครัวยังสามารถช่วยกันส่งเสริมสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ด้วยการคอยดูแลและสนับสนุนการออกกำลังกาย



รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์


คุณแม่ตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่ออกกำลังหักโหมเกินไป และเลือกชนิดการออกกำลังกายอย่างผสมผสาน ทั้งการออกกำลังแบบแอโรบิก การออกกำลังแบบเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการออกกำลังที่เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย โดยเน้นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นพิเศษ โดยคุณแม่ตั้งครรภ์อาจลองพิจารณาใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในช่วงอายุครรภ์ที่มากขึ้น เช่น เข็มขัดพยุงครรภ์ เทปพยุงกล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นต้น



การออกกําลังกายในหญิงตั้งครรภ์แต่ละไตรมาส


ร่างกายของคุณแม่เกิดความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างไปในแต่ละไตรมาสของการตั้งครรภ์ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละไตรมาส


การออกกําลังกายในไตรมาสแรก (1-3 เดือน)


ไตรมาสแรกมักเป็นช่วงเวลามักมีอาการแพ้ท้อง ซึ่งอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย ดังนั้นหากมีอาการแพ้ท้องมาก อาจงดการออกกำลังกายไปก่อนและเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีอาการแพ้ท้องโดยในระยะนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมาก่อน ควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เท่านั้น เช่น เดินเล่น 10 นาที สลับกับเดินเร็ว 5 นาที แล้ววันถัดไป ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ วันละเล็กน้อย จนเด็นเร็วได้ 30 นาที เป็นต้น


การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสแรก ได้แก่


  • การเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel)
  • เดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ เบา ๆ
  • ว่ายน้ำหรือแอโรบิกในน้ำ
  • โยคะ
  • พิลาทิส
  • ท่าออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อที่ใช้น้ำหนักตัว โดยไม่ใช้อุปกรณ์เพื่อแรงต้านหรือเพิ่มน้ำหนัก เช่น squats, lunges, pelvic curls เป็นต้น

การออกกําลังกายในไตรมาสที่ 2 (4-6 เดือน)


ไตรมาสที่ 2 คือช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกดีขึ้น อาการแพ้ท้องลดลงหรือหมดไป รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง ดังนั้นในช่วงไตรมาสนี้จึงนับเป็นโอกาสทองในการออกกำลังกาย โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ที่ 14 ถึง 24 สัปดาห์ เพราะหลังจากนั้นครรภ์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ในช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 นี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงท่าออกกำลังกายที่ต้องมีการนอนหงายหลัง เพราะครรภ์ที่มีขนาดใหญ่อาจกดทับหลอดเลือดและลดการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจได้


การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสที่ 2 ได้แก่


  • การเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง อุ้งเชิงกราน ต้นขาและสะโพก
  • เดินเร็ว
  • ว่ายน้ำหรือแอโรบิกในน้ำ
  • โยคะสำหรับคนท้อง

การออกกําลังกายในไตรมาสที่ 3 (7-9 เดือน)


ไตรมาสที่ 3 คือช่วงเวลาเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการคลอด ครรภ์ของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ ทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดมากขึ้น ครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นมากจะทำให้คุณแม่ขยับตัวได้ลำบากขึ้น อาจก้มไม่ได้ เดินช้าลง หายใจหอบเหนื่อยได้ง่ายขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์จะเปลี่ยนไปเป็นทางด้านหน้าจากครรภ์ที่ใหญ่และหนัก ทำให้การรักษาสมดุลการทรงตัวของร่างกายยากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 จึงต้องระมัดระวังและป้องกันการล้ม ช่วงไตรมาสที่ 3 นี้จึงเหมาะแก่การออกกำลังกายเท่าที่คุณแม่รู้สึกว่าร่างกายยังไหวและสามารถทำได้ เน้นฝึกความยืดหยุ่น ผ่อนคลาย และบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและหน้าท้องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด


การออกกำลังกายที่แนะนำในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้แก่


  • ว่ายน้ำ
  • โยคะสำหรับคนท้อง
  • พิลาทิส
  • การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลางและอุ้งเชิงกราน


การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์


คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อครรภ์ ดังต่อไปนี้


  1. กิจกรรมที่อาจจะเกิดแรงกระแทกต่อหน้าท้องได้ ได้แก่
    • กีฬาที่มีการปะทะ เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล
    • ศิลปะการต่อสู้ เช่น ต่อยมวย มวยไทย มวยปล้ำ
    • กีฬาที่เสี่ยงต่อการล้ม เช่น เบสบอล วอลเลย์บอล ยิมนาสติก
  2. การออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อต่อและเส้นเอ็น เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมน relaxin ซึ่งมีผลให้เกิดการคลายตัวของข้อต่อกระดูกเชิงกราน ทำให้อุ้งเชิงกรานขยายขนาดความกว้าง เพื่อเตรียมร่างกายคุณแม่ให้พร้อมสำหรับการคลอดบุตร แต่ในขณะเดียวกันฮอร์โมนตัวนี้ก็มีผลคลายข้อต่อและเส้นเอ็นอื่น ๆ ทั่วร่างกายด้วย ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีโอกาสบาดเจ็บข้อต่อและเส้นเอ็นได้ง่ายขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่มีการกระโดดและมีแรงกระแทกสูง เช่น กระโดดเชือก กระโดดตบ สควอทจัมพ์ เป็นต้น
  3. การยกน้ำหนักมาก ๆ แม้ว่าการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะมีผลดีต่อการตั้งครรภ์ แต่การยกน้ำหนักที่มากเกินไป อาจส่งผลต่อการทรงตัวและทำให้ล้มได้ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งครรภ์มีขนาดใหญ่มากแล้ว โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่ควรยกของหนัก หรือคุณแม่ที่ออกกำลังกายก็ควรออกกำลังตามความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ควรฝืนหรือหักโหม
  4. กิจกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันบรรยากาศอย่างมาก เช่น การดำน้ำลึก (scuba diving) และการโดดร่มชูชีพ (sky diving)
  5. การออกกำลังกายในสถานการณ์ที่มีมลพิษทางอากาศ (PM2.5) สูง เพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบหายใจโดยตรง ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์อาจเกิดการกำเริบของโรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ได้ ซึ่งการตั้งครรภ์จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ จนอาจถึงขั้นการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้น PM2.5 ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์น้ำหนักตัวน้อย การเจริญเติบโตช้ากว่ามาตรฐานคลอดก่อนกำหนด และเป็นโรคภูมิแพ้ในอนาคต ดังนั้น หากอยู่ในพื้นที่มีมลพิษทางอากาศ PM2.5 คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง และเปลี่ยนมาออกกำลังกายในห้องที่มีการฟอกอากาศแทน


ข้อห้ามในการออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์


คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะครรภ์ที่ผิดปกติต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เช่น


  • มีภาวะเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้
  • มีภาวะครรภ์เป็นพิษหรือความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์
  • มีการเย็บผูกปากมดลูก (cervical cerclage) เพื่อรักษาภาวะปากมดลูกหลวมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
  • ครรภ์แฝดและมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
  • มีภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
  • มีภาวะรกเกาะต่ำหลังอายุครรภ์ 26 สัปดาห์
  • ถุงน้ำคร่ำแตกหรือมีภาวะคลอดก่อนกำหนด
  • มีภาวะเลือดจางรุนแรง
  • มีโรคหัวใจหรือโรคปอด
  • มีโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือไทรอยด์ ที่ยังควบคุมไม่ได้


สรุป


การออกกำลังกายที่เหมาะสมและเพียงพอในคุณแม่ตั้งครรภ์จะช่วยส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ ระหว่างการตั้งครรภ์ ช่วยให้คลอดง่ายขึ้น และช่วยให้ร่างกายคุณแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมและหนักเกินไป ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ และควรอยู่ในการดูแลและแนะนำจากสูตินรีแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

มดลูกหย่อน กับอาการเจ็บปวดที่ผู้หญิงคนไหนก็ไม่อยากเผชิญ

มดลูกหย่อน ภาวะที่มดลูกหย่อนตัวลงไปในช่องคลอด สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่สามารถยึดให้มดลูกอยู่ในตำแหน่งปกติ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สัญญาณเตือนที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

เนื้องอกมดลูก อันตรายใกล้ตัวของผู้หญิงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื้องอกมดลูก มีสาเหตุมาจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกเจริญผิดปกติ ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่แสดงอาการ และผู้ป่วยบางส่วนอาจมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย

รวมสาเหตุที่ต้องผ่าตัดมดลูก พร้อมเคล็ดลับการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด

การผ่าตัดมดลูกคือการแก้ปัญหาที่มีสาเหตุจากมดลูกจนทำให้เกิดความอันตรายต่อชีวิต มาทำความเข้าใจกันว่าดูแลตัวเองหลังผ่าตัดอย่างไรให้ไม่ต้องกังวลปัญหาแทรกซ้อน

“ซีสต์” หรือ ถุงน้ำรังไข่ อาการเป็นยังไง? พร้อมเจาะลึกหาสาเหตุและวิธีรักษา

ซีสต์ (Cyst) มีหลายชนิด สามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย แต่สำหรับผู้หญิงควรระวังซีสต์รังไข่หรือถุงน้ำรังไข่ เพราะอาจทำให้มีอาการปวดหน่วงท้องน้อย ประจำเดือนมาไม่ปกติได้

ทำอย่างไร เมื่อหลังคลอด ไม่มีความรู้สึกทางเพศ

ปัญหาของคุณแม่หลังคลอดที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งมีผลต่อทางร่างกายและจิตใจ ปัญหาด้านอารมณ์ทางเพศที่ลดลงหลังคลอดเป็นอีกปัญหาที่ทำให้คุณผู้หญิงหลายคนกังวล การพูดคุยทำความเข้าใจกับคู่ครองจะช่วยให้ความสัมพันธ์ยังคงดีเหมือนเดิมได้

อัลตร้าซาวด์ช่องท้อง เพื่อวินิจฉัยโรคต่างๆ ในช่องท้องที่ตามองไม่เห็น

ผ่าตัดปลูกถ่ายไตซ้ำ มาจากปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง เสี่ยงกว่าครั้งแรกมากน้อยแค่ไหนต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนผ่าตัด

ตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านม

การคลำเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ ช่วยให้เราสังเกตเห็นสัญญาณผิดปกติของมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรก ๆ วิธีการคลำเต้านมทำง่ายๆได้ด้วยตัวเองดังนี้

มะเร็งปากมดลูก โรคร้ายของผู้หญิงทุกคน

การติดเชื้อไวรัส HPV สาเหตุหลักการเกิดมะเร็งปากมดลูก ในระยะเริ่มต้นส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นมักมีอาการแสดงให้พบได้บ้าง ควรตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีนป้องกันเพื่อลดความเสี่ยง ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง

ตั้งครรภ์ช่วงโควิด เสี่ยงมากน้อยแค่ไหน?

โควิด 19 จะส่งผลอะไรต่อลูกน้อยในครรภ์ไหม ต้องป้องกันหรือรักษาอย่างไร

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital