บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง

นพ. อรรถวิทย์ เจริญศรี

ในปัจจุบันโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คนไทยเริ่มรู้จักคุ้นชินกันมากขึ้น ความอันตรายของโรคหลอดเลือดสมองไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ล้วนส่งผลให้เกิดทุพพลภาพหรืออาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือปัจจัยทางพันธุกรรม แต่ยังมีอีกสาเหตุที่แม้จะพบไม่บ่อยนัก แต่มีอันตรายถึงชีวิตได้ นั่นก็คือโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง


โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองคืออะไร?


โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง เป็นภาวะที่ผนังของหลอดเลือดบางส่วนเกิดการอักเสบหรือเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการบางลงของผนังหลอดเลือดตำแหน่งนั้น เมื่อได้รับแรงดันจากเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในก็ทำให้เกิดการโป่งพองขึ้นเป็นกระเปาะออกจากผนังหลอดเลือดข้างเคียง ซึ่งอาจขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดการแตกและทำให้เกิดเลือดออกในสมองได้


อันที่จริงแล้วโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองนั้นพบได้ไม่บ่อยนัก จากการศึกษาพบว่ามีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 1-5 ของประชากรทั่วไป และในกลุ่มนี้มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีการแตกของหลอดเลือดเกิดขึ้น แต่ความอันตรายของภาวะนี้อยู่ที่ความรุนแรงของโรคซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงถึง 1 ใน 3 หากเกิดการแตกของหลอดเลือดโป่งพองขึ้นมา


โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองเกิดจากอะไร?


เราสามารถแบ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือส่งผลให้เกิดการโป่งพองของหลอดเลือดสมองเป็น 2 กลุ่ม คือ ปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้ และปัจจัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้


ปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้


ปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขได้ที่สำคัญ คือ ความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อการทำให้หลอดเลือดเกิดการโป่งพอง และยังทำให้หลอดเลือดโป่งพองนั้นขยายขนาดขึ้นด้วย ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแตกของหลอดเลือดมากขึ้น ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคได้ เช่น ไขมันในเลือดสูง การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาหรือสารเสพติด รวมถึงประวัติการบาดเจ็บบริเวณสมองหรือหลอดเลือดสมอง


ปัจจัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้


ส่วนปัจจัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อายุ เพศหญิง ประวัติครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง โดยเฉพาะญาติสายตรง โรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ (fibromuscular dysplasia, Ehlers-Danlos syndrome, Marfan syndrome) และโรคถุงน้ำในไต (polycystic kidney disease)


โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองมีอาการอย่างไร?


โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดสมองโป่งพองจะยังไม่มีอาการ จนกระทั่งเกิดการแตกขึ้นและทำให้มีเลือดออกในชั้นใต้เยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะที่รุนแรงมาก นอกจากนี้เลือดที่ออกจะทำให้เกิดการอักเสบและบวมของสมองโดยรอบ ส่งผลให้เกิดอาการซึม หมดสติ หรือชัก ผู้ป่วยบางรายอาจมีระบบการหายใจล้มเหลว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตได้


ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะเตือนนำมาก่อนเกิดการแตกของหลอดเลือดสมอง (sentinel headache) ซึ่งเกิดจากการเริ่มปริแตกเล็กน้อยของหลอดเลือด มักนำมาก่อนเกิดการแตกจริงไม่นาน หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้ทัน อาจช่วยป้องกันหรือลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้


ผู้ป่วยส่วนน้อยอาจพบอาการแสดงทางระบบประสาทที่เกิดจากการกดเบียดของหลอดเลือดโป่งพองที่มีขนาดใหญ่ได้ เช่น อาการมองภาพซ้อนหรือหนังตาตกจากการกดเบียดเส้นประสาทใบหน้าคู่ที่ 3


จะทราบได้อย่างไรว่าเรามีหลอดเลือดสมองโป่งพองอยู่หรือไม่?


การวินิจฉัยภาวะนี้จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางรังสีวิทยา โดยการทำเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (computer tomography; CT scan) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging; MRI) เพื่อมองหาความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง หากไม่พบความผิดปกติชัดเจนแต่ยังสงสัยภาวะนี้อยู่ แพทย์จะทำการตรวจโดยใช้สายสวนทางหลอดเลือดแดง (cerebral angiogram) เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดสมองอย่างละเอียดอีกครั้ง


ใครควรได้รับการตรวจหาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง?


โดยปกติแล้วจะทำการตรวจเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการแสดงที่น่าสงสัยภาวะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีเลือดออกใต้ชั้นเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) ที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจทุกราย


สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองเพื่อหาภาวะนี้ เว้นแต่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะมีหลอดเลือดสมองโป่งพองมากกว่าประชากรทั่วไป ได้แก่


  1. มีประวัติโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองหรือประวัติเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองในครอบครัว โดยเฉพาะญาติสายตรง (first degree relative) ตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป
  2. มีประวัติโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองหรือประวัติเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองในครอบครัว โดยเฉพาะญาติสายตรง 1 ราย ร่วมกับมีโรคหรือภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง เช่น โรคถุงน้ำในไต (polycystic kidney disease)
  3. ผู้ป่วยมีภาวะหรือโรคที่สัมพันธ์กับการมีหลอดเลือดสมองโป่งพอง ได้แก่ โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบแคบ (coarctation of aorta) หรือมีภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดชนิด bicuspid aortic valve

วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองทำได้อย่างไร?


การรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองจะทำโดยแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมประสาท ซึ่งมีทั้งวิธีการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดแดง ใส่ขดลวดเพื่ออุดหลอดเลือดส่วนที่โป่งพอง และวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะ ทั้งนี้การเลือกว่าจะให้การรักษาด้วยวิธีการใดนั้น แพทย์จะตัดสินใจโดยพิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งอาการของผู้ป่วยในขณะนั้น ลักษณะรูปร่าง ขนาด รวมถึงตำแหน่งของหลอดเลือดที่โป่งพองด้วย


เนื่องจากวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองนั้น มีความเสี่ยงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการรักษาได้ โดยทั่วไปจึงแนะนำให้ทำการรักษาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองที่มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้เองทำให้เกิดปัญหาในการตัดสินใจรักษาผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดสมองโป่งพองแต่ยังไม่มีอาการ โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจพบจากการตรวจคัดกรอง หรือพบโดยบังเอิญจากการตรวจโรคทางสมองอื่น ในกรณีนี้แพทย์และผู้ป่วยจำเป็นต้องตัดสินใจร่วมกันโดยพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรักษากับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยหลักการทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้รักษาก็ต่อเมื่อความเสี่ยงของการแตกของหลอดเลือดโป่งพองสูงกว่าความเสี่ยงที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษานั่นเอง


การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองทำได้อย่างไร?


  1. รักษาภาวะความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยการกินยา และพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  2. ควบคุมอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเค็มจัด และไขมันสูง
  3. งดสูบบุหรี่ นอกจากบุหรี่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดสมองโป่งพองแล้ว ยังทำให้หลอดเลือดที่โป่งพองขยายขนาดมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อโอกาสแตกของหลอดเลือดโป่งพอง
  4. งดแอลกอฮอล์และสารเสพติดทุกชนิด
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  6. หากเป็นผู้ที่มีหลอดเลือดสมองโป่งพองอยู่แล้ว แนะนำให้ติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และสังเกตอาการผิดปกติของตนเองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะที่รุนแรงและอาการผิดปกติทางระบบประสาท

เอกสารอ้างอิง


  1. Thompson, B Gregory et al. “Guidelines for the Management of Patients with Unruptured Intracranial Aneurysms: A Guideline for Healthcare Professionals from the American Heart Association/American Stroke Association.” Stroke vol. 46,8 (2015): 2368-400.
  2. Chalouhi N, Hoh BL, Hasan D. Review of cerebral aneurysm formation, growth, and rupture. Stroke. 2013 Dec;44(12):3613-22.
  3. Zhao J, Lin H, Summers R, Yang M, Cousins BG, Tsui J. Current Treatment Strategies for Intracranial Aneurysms: An Overview. Angiology. 2018 Jan;69(1):17-30.

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. อรรถวิทย์  เจริญศรี

นพ. อรรถวิทย์ เจริญศรี

ศูนย์สมองและระบบประสาท

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

หมอนรองกระดูกเสื่อม ต้นเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังที่อายุน้อยก็พบได้

หมอนรองกระดูกเสื่อมคือภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกจนไม่สามารถทำหน้าที่ลดแรงกระแทกได้ ทำให้กระดูกรอบ ๆ สึกและอักเสบขึ้นจนเกิดอาการปวดเรื้อรัง

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา อีกหนึ่งสัญญาณเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica pain) เกิดจากการถูกกดทับที่เส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดจากช่วงเอวหรือสะโพกร้าวลงขาด้านหลัง บางรายอาจร้าวไปถึงน่องและเท้าได้

ปวดข้อเท้าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรไม่ให้เจ็บเรื้อรัง?

ทำความเข้าใจกับอาการปวดข้อเท้าที่ควรรู้ อาการแบบไหนที่ควรเข้าปรึกษาแพทย์? พร้อมเรียนรู้สาเหตุของอาการ วิธีรักษา ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เจ็บข้อเท้าเรื้อรัง

คำแนะนำการป้องกันมาลาเรียสำหรับนักเดินทาง

โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัว Plasmodium นำโดยยุงก้นปล่อง มีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ สายพันธ์ุที่รุนแรงคือ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง อวัยวะต่างๆล้มเหลว ติดเชื้อขึ้นสมอง โคม่า ชัก และเสียชีวิตได้ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital