บทความสุขภาพ

Knowledge

Coronary calcium score ช่วยประเมินการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

นพ. วิสุทธิ์ เกตุแก้ว, นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

ปัจจุบัน คนไทยมีอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการที่สำคัญที่พบคือ เจ็บหน้าอก และเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เป็นผลให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ลดลง ซึ่งมักจะเกิดจากหลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจที่ตีบ นำไปสู่ภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรังและภาวะหัวใจล้มเหลวได้


การตีบตันของหลอดเลือดนั้น เกิดได้จากการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นภาวะความเสื่อมของร่างกาย (degenerative change) ซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยไขมันในผนังหลอดเลือดนี้ก็จะมีแคลเซียม หรือหินปูนสะสมจนทำให้หลอดเลือดมีลักษณะแข็งและตีบตันได้


ดังนั้นหากตรวจวัดแคลเซียมหรือหินปูนที่เกาะอยู่กับหลอดเลือดหัวใจได้ ก็เปรียบเสมือนการตรวจวัดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดนั่นเอง ปัจจุบันมีวิธีการตรวจเพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหลายอย่าง การตรวจหนึ่งที่สามารถบอกได้คือการตรวจที่เรียกว่า “coronary calcium score หรือการวัดแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ” ซึ่งสามารถใช้ประเมินโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้


Coronary calcium score หรือแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจคืออะไร?


Coronary calcium score (coronary artery calcium score; CAC) หรือค่าแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจคือการใช้เทคโนโลยีของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อตรวจหาระดับของแคลเซียมหรือหินปูนที่หัวใจ โดยเฉพาะที่หลอดเลือดหัวใจ โดยการสะสมของแคลเซียมนี้มักเกิดจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดงทำให้มีการสะสมของแคลเซียมที่ผนังของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังบอกได้ถึงแคลเซียมที่บริเวณลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจได้อีกด้วย


coronary-calcium-score-1.jpg

ตรวจ coronary calcium score บอกอะไรได้บ้าง?


การตรวจ coronary calcium score จะบอกถึงปริมาณแคลเซียมหรือหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสัมพันธ์กับไขมันในหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดส่วนอื่น ๆ


สรุปคือ ถ้าพบว่าค่า CAC ขึ้นสูง เราก็อนุมานได้ว่าคนไข้อาจจะมีเส้นเลือดหัวใจตีบหรือมีความเสี่ยงจะเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ/เส้นเลือดสมองตีบในอนาคต ซึ่งแพทย์จะนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์ต่อ ร่วมกับประวัติและอาการของคนไข้ว่าจะต้องทำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่ เช่นการวิ่งสายพาน (EST) หรือการฉีดสีดูเส้นเลือดหัวใจ (CTA หรือ CAG) รวมถึงการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคหัวใจ


coronary-calcium-score-2.jpg

ข้อดีของการตรวจ coronary calcium score


ไม่ต้องออกกำลังกาย คนไข้จะนอนราบ ผ่านเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ไม่ต้องฉีดสี ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องงดน้ำงดอาหารในการตรวจ อีกทั้งการใช้คอมพิวเตอร์อ่านระดับของแคลเซียมค่าที่ตรวจได้จึงมีความแม่นยำ


ใครบ้างควรตรวจ coronary calcium score?


การตรวจ coronary calcium score จะสามารถตรวจเพื่อหาข้อบ่งชี้ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจระดับน้อยถึงปานกลาง ซึ่งได้แก่


  • เพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • เพศหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือหญิงวัยหมดประจำเดือน
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ผู้ที่ความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่เป็นเบาหวาน
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง
  • ผู้ที่ไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ที่มีลักษณะงานที่นั่งอยู่กับโต๊ะหรือมีวิถีชีวิตประจำที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย

coronary-calcium-score-3.jpg

การเตรียมตัวก่อนตรวจ coronary calcium score


  • สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องงดน้ำและอาหาร
  • งดชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ยา และสารอื่น ๆ ที่จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว
  • งดสูบบุหรี่และออกกำลังกายก่อนตรวจอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ก่อนตรวจเจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนเสื้อผ้าและถอดเครื่องประดับ ดังนั้นควรเลือกสวมใส่ชุดที่สะดวกในการเปลี่ยนในวันที่ทำการตรวจ
  • ถ้าท่านกำลังตั้งครรภ์หรือมีโอกาสที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ยังไม่ควรตรวจ

ตรวจ coronary calcium score ทำอย่างไร?


ขั้นตอนการตรวจ coronary calcium score ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที โดยมีขั้นตอนดังนี้


  • เจ้าหน้าที่จะทำการติดขั้วบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจก่อนการตรวจ coronary calcium score
  • ผู้ที่ได้รับการตรวจจะต้องนอนบนเตียงตรวจเฉพาะของเครื่อง CT scan โดยนอนในท่านอนหงาย
  • ในขณะตรวจอาจต้องกลั้นหายใจเป็นเวลาสั้น ๆ ประมาณ 5-10 วินาที เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน

ผลตรวจแบบไหนที่แสดงว่ามีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ?


การประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจจะประเมินจากคะแนนแคลเซียมที่ตรวจได้ ดังนี้


  • คะแนน 0: ไม่มีแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ มีโอกาสในการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรือเส้นเลือดสมองตีบภายในอนาคตน้อยมาก (10 years risk of MI/stroke < 1%)
  • คะแนน 1 ถึง 100: มีแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจระดับน้อย มีโอกาสในการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรือเส้นเลือดสมองตีบในอนาคตน้อย แต่ควรควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนัก (10 years risk of MI/stroke < 10%)
  • คะแนน 101 ถึง 400: มีแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจระดับปานกลาง มีโอกาสในการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรือเส้นเลือดสมองตีบในอนาคตปานกลาง ควรควบคุมปัจจัยเสี่ยง และสามารถพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมได้ เช่น ตรวจการเดินสายพานเพิ่ม (10 years risk of MI/stroke 10-20%)
  • คะแนน 401 ขึ้นไป: มีแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจระดับสูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดสมองตีบในอนาคตสูง แนะนำให้ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม (10 years risk of MI/stroke > 20%)

coronary-calcium-score-4.jpg

ref: Liew G, Chow C, van Pelt N, Younger J, Jelinek M, Chan J, Hamilton-Craig C. Cardiac Society of Australia and New Zealand Position Statement: Coronary Artery Calcium Scoring. Heart Lung Circ. 2017 Dec;26(12):1239-1251. doi: 10.1016/j.hlc.2017.05.130. Epub 2017 Jun 16. PMID: 28690020.


coronary-calcium-score-5.jpg

สรุป


ปัจจุบันการตรวจเพื่อวิเคราะห์โอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดมีหลายอย่าง การตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจหรือ coronary calcium score ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่มีความปลอดภัย ตรวจได้เร็ว มีความแม่นยำสูง เป็นมาตรฐานในการตรวจคัดกรอง (screening test) ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและหลอดเลือดสมองตีบในอนาคต


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. วิสุทธิ์ เกตุแก้ว

นพ. วิสุทธิ์ เกตุแก้ว

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนให้หายดี ลดเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะการผ่าแบบส่องกล้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และลดการเป็นซ้ำได้

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สัญญาณเตือนที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

เนื้องอกมดลูก อันตรายใกล้ตัวของผู้หญิงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื้องอกมดลูก มีสาเหตุมาจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกเจริญผิดปกติ ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่แสดงอาการ และผู้ป่วยบางส่วนอาจมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย

ต่อมลูกหมากโต (BHP) อาการเป็นอย่างไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

โรคต่อมลูกหมากโต (BPH) คือ ภาวะที่ต่อมลูกหมากขยายใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ปัสสาวะติดขัดและกระทบต่อคุณภาพชีวิต มักพบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนอายุ 50 ปีขึ้นไป

รู้ทันอาการริดสีดวงทวาร กับพฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง

ริดสีดวงทวาร มีสาเหตุมาจากการเพิ่มแรงดันในช่องทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดในช่องทวารหนัก (Anal cushion) เกิดการขยายตัวเป็นหัวริดสีดวง

ปัสสาวะบ่อย ไม่ใช่เรื่องเล็ก เสี่ยงโรคอันตรายบั่นทอนคุณภาพชีวิต

ปัสสาวะบ่อยเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่การดื่มน้ำหรือของเหลวในปริมาณมาก ได้รับคาเฟอีนมาก การใช้ยา ไปจนถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินปัสสาวะ เรียนรู้ในบทความนี้!

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน ทางเลือกรักษาข้อเข่าเสื่อม แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน หรือ UKA เป็นการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยเอาผิวข้อเฉพาะส่วนที่สึกหรอออก และเก็บผิวข้อเข่าส่วนที่ยังมีสภาพดีไว้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวนาน ในการกลับไปใช้ข้อเข่าได้เหมือนธรรมชาติ

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital