บทความสุขภาพ

Knowledge

รู้จัก ‘การผ่าตัดหัวใจ’ วิธีรักษาโรคหัวใจแบบผ่าตัด มีกี่แบบ?

ผ่าตัดหัวใจเป็นวิธีรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจผิดปกติ ซึ่งช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจและลดความเสี่ยงจากภาวะร้ายแรงต่าง ๆ ซึ่งการเลือกวิธีผ่าตัดหัวใจขึ้นอยู่กับสภาพอาการและความรุนแรงของโรค ทำให้มีเทคนิคและเทคโนโลยีการผ่าหัวใจถูกพัฒนาขึ้นหลายวิธี เพื่อฟื้นฟูสุขภาพหัวใจอย่างมีประสิทธิภาพ


Key Takeaways


  • การผ่าตัดหัวใจ คือ การผ่าตัดเพื่อรักษาและแก้ไขความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดได้ด้วย
  • วิธีผ่าตัดหัวใจมีด้วยกันหลัก ๆ 3 แบบ ได้แก่ การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open-Heart Surgery), การผ่าตัดหัวใจแบบใช้สายสวนหัวใจ (Catheter based Surgery) และการผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้วิธีไหนนั้น ขึ้นอยู่กับอาการ ลักษณะ และความรุนแรงของโรค
  • การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหัวใจ ควรงดบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ งดยาและอาหารเสริม ควบคุมโรคประจำตัว และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดหัวใจ ผู้ป่วยต้องดูแลรักษาแผล หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงหนัก และสังเกตอาการผิดปกติในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

ผ่าตัดหัวใจ คืออะไร? โรคหัวใจแบบไหนต้องผ่าตัด?


การผ่าตัดหัวใจ (Cardiac Surgery) คือ กระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาความผิดปกติของหัวใจ เพื่อฟื้นฟูการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด โดยวิธีผ่าตัดหัวใจนั้นมีด้วยกันหลากหลายแบบ โดยจะเน้นการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหัวใจ


ตัวอย่างของโรคหัวใจที่อาจต้องเข้าผ่าตัดหัวใจเพื่อรักษา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ซึ่งเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease) หรือโรคลิ้นหัวใจผิดปกติ เช่น ลิ้นหัวใจรั่วหรือลิ้นหัวใจตีบ เป็นต้น โรคหัวใจเหล่านี้คือโรคที่พบได้บ่อย และต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจเป็นส่วนใหญ่


วิธีผ่าตัดหัวใจ มีกี่แบบ?


ผ่าหัวใจ

โรคหัวใจแต่ละชนิด อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจเสมอไป ขึ้นอยู่กับอาการ ลักษณะ และความรุนแรงของโรค ซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาจากแพทย์ก่อนเสมอ โดยจะมีวิธีผ่าตัดหัวใจเบื้องต้นได้แก่


การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open-Heart Surgery)


เรียกอีกอย่างว่าการผ่าตัดหัวใจแบบดั้งเดิม (Traditional Heart Surgery) เป็นวิธีผ่าตัดหัวใจบายพาสที่ต้องเปิดส่วนบนของกระดูกช่องอก จึงต้องอาศัยการวางยาสลบก่อน และเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัด ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองแบบ ได้แก่


  • การผ่าตัดหัวใจแบบ On-Pump Bypass Surgery เป็นการผ่าตัดหัวใจที่ต้องใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม (Heart – Lung Bypass Machine) มาใช้ในการสูบฉีดเลือดแทนหัวใจ เพื่อให้แพทย์สามารถทำการผ่าตัดหัวใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
  • การผ่าตัดหัวใจแบบ Off-Pump Bypass Surgery เป็นการผ่าตัดหัวใจแบบไม่ใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม ทำให้แพทย์ไม่ต้องทำให้หัวใจหยุดเต้นขณะผ่าตัดหัวใจ ซึ่งการผ่าตัดแบบ Off-pump จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ภาวะสมองขาดออกซิเจนหรือลิ่มเลือดอุดตัน ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

วิธีผ่าตัดหัวใจแบบดั้งเดิมนี้ แพทย์มักเลือกใช้เมื่อต้องมีการซ่อมแซมหรือผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ และใช้สำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (ปลูกถ่ายหัวใจใหม่) ด้วย โดยขนาดแผลผ่าตัดหัวใจจะมีความยาวราว 8-10 นิ้วอยู่บริเวณกลางหน้าอก และอาจจะต้องใส่สายเดรนระบายเลือดหลังผ่าตัดด้วย


ทั้งนี้ Open-Heart Surgery มักนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยระดับที่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อการใช้ยาแล้ว ซึ่งมักมีการอุดตันของไขมันภายในเส้นเลือดจนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายในอนาคตได้


การผ่าตัดหัวใจแบบใช้สายสวนหัวใจ (Catheter based Surgery)


เป็นเทคนิคในการผ่าตัดหัวใจที่ไม่ต้องอาศัยการเปิดช่องอก แต่จะเป็นการใช้สายสวนขนาดเล็กสอดผ่านหลอดเลือดไปยังหัวใจ เพื่อทำการผ่าตัดซ่อมแซมส่วนที่มีปัญหา เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจ (Balloon Angioplasty), การเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านสายสวนหัวใจ (TAVI) หรือสำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ


การผ่าตัดหัวใจแบบใช้สายสวนจะใช้เวลาราว 2-4 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยจะต้องรับการดมยาสลบทางเส้นเลือดก่อน ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างผ่าตัด แต่หลังฟื้นอาจจะรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยบริเวณแผลและภายในอก วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและลดระยะเวลาฟื้นตัวให้สั้นลง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดใหญ่ได้


การผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery)


เป็นการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือและกล้องส่องภายในร่างกาย เพื่อลดขนาดแผลและร่นระยะเวลาฟื้นตัวให้เร็วขึ้น โดยแพทย์จะทำการเจาะเปิดแผลเล็ก ๆ ความยาวประมาณ 3-4 นิ้วบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (ส่วนใหญ่จะเปิดบริเวณข้างลำตัวในส่วนของซี่โครง)


วิธีผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็กนั้นมีด้วยกันหลายแบบขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น การผ่าตัดส่องกล้อง, การผ่าตัดหัวใจผ่านหลอดเลือด หรือการผ่าตัดแบบใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เป็นต้น โดยการผ่าตัดเหล่านี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ก็ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์สูงมากเช่นกัน


ข้อบ่งชี้ในการเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ มีอะไรที่ต้องทราบก่อน?


การผ่าตัดหัวใจเป็นวิธีรักษาที่แพทย์จะแนะนำในกรณีที่การรักษาด้วยยาและวิธีอื่น ๆ ไม่สามารถควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อบ่งชี้หลักที่จำเป็นต้องเข้าผ่าตัดหัวใจ ได้แก่


  • การผ่าตัดรักษาหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Surgery) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของหัวใจตั้งแต่กำเนิด เช่น ผนังกั้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดหัวใจผิดตำแหน่ง หรือภาวะหัวใจโตผิดปกติ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจทำงานผิดปกติตามไปด้วย
  • การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valve Replacement) เหมาะกับผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจตีบ หรือลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ โดยแพทย์อาจเลือกทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ด้วยลิ้นหัวใจเทียม
  • การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting - CABG) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันหลายเส้นซึ่งมีการตีบตันรุนเเรง หรือไม่สามารถเเก้ไข้ได้โดยการสวนหลอดเลือดหัวใจ (PCI) การทำบายพาสจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ลดความเสี่ยงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
  • การผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic Aneurysm Surgery) สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองหรือฉีกขาด ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต การผ่าตัดจะช่วยเสริมความแข็งแรงของผนังหลอดเลือดและป้องกันการเกิดความเสียหายของหลอดเลือดในอนาคตด้วย
  • การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เต้นช้า หรือหัวใจทำงานผิดปกติ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผ่าตัดหัวใจ มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?


แม้ว่าการผ่าตัดหัวใจจะเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่


  • ภาวะเลือดออกมากผิดปกติ อาจเกิดจากการผ่าตัดเอง หรือการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
  • เสี่ยงติดเชื้อ เช่น แผลผ่าตัดติดเชื้อ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งพบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะกรณีหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation) ซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการหลังผ่าตัด
  • ลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือภาวะเส้นเลือดในปอดอุดตัน
  • ปอดบวม อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องช่วยหายใจหลังผ่าตัดเป็นเวลานาน
  • หัวใจล้มเหลว ในบางกรณี หัวใจอาจไม่สามารถกลับมาทำงานได้เต็มที่ เพราะหยุดเต้นนานเกินไป
  • มีโอกาสหลอดเลือดตีบซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ผ่าตัดบายพาสหัวใจ หากยังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ก็อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกได้
  • ปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจเทียม หากเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ อาจเกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ่มเลือดเกาะที่ลิ้นหัวใจเทียมได้
  • ภาวะสมองขาดออกซิเจน บางรายอาจมีอาการความจำเสื่อม หรือสับสนชั่วคราวหลังการผ่าตัด เพราะหัวใจหยุดเต้นไประยะหนึ่ง หรือการสูบฉีดระหว่างผ่าตัดไม่เพียงพอ

การเตรียมตัวก่อนเข้าผ่าตัดหัวใจ ทำอย่างไร?


เตรียมตัวก่อนผ่าตัดหัวใจ
  • เข้ารับการตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก ก่อนผ่าตัด
  • แจ้งข้อมูลส่วนตัวทางสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาประจำตัวและอาหารเสริมที่ทานอยู่
  • งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนผ่าตัด

ข้อปฏิบัติหลังผ่าตัดหัวใจ ดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัย


  • รักษาความสะอาดแผลอย่างเคร่งครัด และต้องระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำหรือชื้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตร่างกายและแผลผ่าตัดหัวใจอย่างสม่ำเสมอ หากแผลมีอาการบวม แดง หรือมีหนองไหล ให้รีบพบแพทย์ทันที
  • งดการยกของหนักหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากอย่างน้อย 1 เดือน หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  • เดินเบา ๆ หรือขยับร่างกายเบา ๆ เล็กน้อยระหว่างวัน เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี
  • ทานยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรซื้อยาอื่น ๆ มาทานเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์หลังผ่าตัด เพราะอาจทำให้แผลหายช้า
  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการฟื้นฟูแผลผ่าตัดหัวใจ

ผ่าตัดหัวใจ วิธีรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ยิ่งเร็ว ยิ่งเสี่ยงน้อย!


โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยหายดีได้มากขึ้น การผ่าตัดหัวใจเป็นหนึ่งในวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์อย่างมาก แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญอย่างใกล้ชิดเช่นกัน


หากใครมีปัญหาสุขภาพหัวใจ สถาบันหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า พร้อมให้การดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมประสบการณ์การประเมิน วางแผน และรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดหัวใจ


ผ่าตัดหัวใจใช้เวลากี่ชั่วโมง?


ระยะเวลาในการผ่าตัดหัวใจขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง แต่หากเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อน เช่น การเปลี่ยนลิ้นหัวใจหรือการผ่าตัดหลายตำแหน่ง อาจใช้เวลานานกว่านั้น


ผ่าตัดหัวใจต้องพักฟื้นกี่วัน?


ผู้ป่วยมักต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพและประเภทของการผ่าตัด หลังจากกลับบ้าน อาจต้องใช้เวลา 6-12 สัปดาห์ ในการฟื้นตัวเต็มที่ โดยต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด


References


Natalie, P. (2024, August 8). Understanding Open-Heart Surgery. Healthline. https://www.healthline.com/health/open-heart-surgery


Off-Pump Bypass Surgery. (2022, May 2). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/17289-off-pump-bypass-surgery


Off-Pump Coronary Artery Bypass Surgery. (n.d.). Johns Hopkins Medicine. https://www.hopkinsmedicine.org/health/treatment-tests-and-therapies/offpump-coronary-artery-bypass-surgery


Minimally Invasive Surgery. (2023, October 29). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/17289-off-pump-bypass-surgery


บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital