อาจดูไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาวได้ การสังเกตอาการและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลเด็กให้เติบโตอย่างแข็งแรง บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคหัวใจในเด็กให้มากขึ้น รวมถึงแนวทางการรับมือและรักษาที่ถูกต้องด้วย
Key Takeaways
- โรคหัวใจในเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติแต่กำเนิดและปัจจัยภายนอก เช่น การติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์ หรือกรรมพันธ์ุจากคนในครอบครัว
- อาการของโรคหัวใจในเด็กมีหลายรูปแบบ เช่น เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว ตัวเล็กผิดปกติ หัวใจเต้นแรง หรือมีอาการเขียวที่ริมฝีปากและปลายมือปลายเท้า
- การวินิจฉัยโรคหัวใจในเด็กทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจร่างกาย ฟังเสียงหัวใจ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และอัลตราซาวด์หัวใจ
- แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค ตั้งแต่การใช้ยา การสวนหัวใจ การทำหัตถการเฉพาะทาง หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติ
โรคหัวใจในเด็กชนิดไหนที่มักพบได้บ่อย
โรคหัวใจในเด็กสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามช่วงเวลาที่ความผิดปกติเริ่มเกิดขึ้น ดังนี้
โรคหัวใจพิการโดยกำเนิด
โรคหัวใจพิการโดยกำเนิดเป็นภาวะที่หัวใจหรือหลอดเลือดมีความผิดปกติตั้งแต่ก่อนคลอด บางรายตรวจพบได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ บางรายอาจสังเกตเห็นภายหลังคลอดหรือเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น สาเหตุอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ความผิดปกติของโครโมโซม การติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ สารพิษจากสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ตัวอย่างโรคที่พบบ่อย ได้แก่
- ผนังกั้นห้องหัวใจรั่ว ทั้งบริเวณผนังห้องบน (ASD) และผนังห้องล่าง (VSD)
- ความผิดปกติของเส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นเลือดแดงใหญ่กับเส้นเลือดปอด (PDA)
- ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจตีบ หรือ รั่ว เช่น PS, AS, TR, MR เป็นต้น
- โรคหัวใจพิการโดยกำเนิดชนิดเขียว เช่น Tetralogy of Fallot (TOF)
โรคหัวใจพิการโดยกำเนิด บางกรณีอาการอาจไม่รุนแรงและสามารถติดตามอาการโดยไม่ต้องรักษาทันที แต่ในบางรายอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง จึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
โรคหัวใจที่เกิดภายหลัง
โรคหัวใจประเภทนี้เกิดขึ้นหลังจากเด็กคลอดออกมา โดยอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ตัวอย่างโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่
- โรคคาวาซากิ มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดขนาดกลางทั่วร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจโป่งพองได้
- โรคไข้รูมาติก เกิดหลังการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณคอ ทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบ และอาจนำไปสู่ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบในระยะยาว
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มักเกิดจากไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโควิด กลุ่มเอนเทอโรไวรัส (entero virus) อาการอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว จนถึงขนาดเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หรือหัวใจวายได้
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เด็กที่มีภาวะนี้อาจรู้สึกใจสั่น เหนื่อยง่าย หรือมีอาการอ่อนเพลีย เป็นลม แม้ไม่ได้ออกแรงมาก ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
สาเหตุที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจในเด็ก
โรคหัวใจในเด็ก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของหัวใจทารกตั้งแต่ในครรภ์ มาดูสาเหตุสำคัญที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจในเด็กได้มากขึ้น
- ติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ : หากคุณแม่ติดเชื้อไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เช่น ไวรัสหัดเยอรมัน (Rubella) อาจรบกวนการสร้างและพัฒนาหัวใจทารกในครรภ์ ทำให้เกิดความผิดปกติแต่กำเนิดได้
- ดื่มแอลกอฮอล์มากขณะตั้งครรภ์ : การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์อาจนำไปสู่ กลุ่มอาการทารกได้รับแอลกอฮอล์ในครรภ์ (Fetal Alcohol Syndrome) ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของหัวใจ สมอง และพัฒนาการโดยรวมของทารก
- การใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อทารกในครรภ์ : ยาบางประเภทอาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาของหัวใจ เช่น ยาทาลิโดไมด์ (Thalidomide) ที่เคยใช้รักษาอาการแพ้ท้องในอดีต แต่ถูกยกเลิกการใช้งานแล้ว เนื่องจากพบว่ามีผลต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ ในทารก
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมและโครโมโซม : หากครอบครัวมีประวัติเด็กเคยเป็นโรคหัวใจโดยกำเนิด หรือมีภาวะผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากขึ้น
- อายุของแม่ขณะตั้งครรภ์ : จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุน้อยกว่า 24 ปี หรือมากกว่า 35 ปี อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการให้กำเนิดทารกที่มีความผิดปกติของหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 24 ปี ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจแต่กำเนิดที่รุนแรงอาจสูงขึ้นกว่ากลุ่มอื่น
อาการและสัญญาณของโรคหัวใจในเด็ก

โรคหัวใจในเด็กอาจแสดงอาการตั้งแต่แรกเกิดหรือพัฒนาเมื่อเด็กโตขึ้น ซึ่งอาการอาจแตกต่างกันไปตามชนิดและความรุนแรงของโรค หากคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้ตั้งแต่ระยะแรก ก็จะช่วยให้เด็กได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- เหนื่อยง่ายขณะดูดนม : เด็กทารกที่มีโรคหัวใจมักดูดนมใช้เวลานานกว่าปกติ หรือหยุดพักบ่อยขณะกินนม เพราะหัวใจทำงานหนัก
- หายใจเร็วกว่าปกติ : ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วทำให้ปอดแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ไม่เต็มที่ มีน้ำท่วมปอด เด็กจึงมีอัตราการหายใจเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ในขณะพัก
- น้ำหนักขึ้นช้า โตไม่ทันวัย : เพราะร่างกายใช้พลังงานมากไปกับการทำงานของหัวใจ จึงเหลือพลังงานไม่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต เด็กจึงอาจน้ำหนักตัวเพิ่มช้าหรือโตช้ากว่าเกณฑ์เฉลี่ย
- เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ซีด : เด็กบางรายอาจมีเหงื่อออกมากแม้ไม่ได้อยู่ในสภาพอากาศร้อน ร่วมกับตัวเย็นและซีด ซึ่งเป็นสัญญาณของการไหลเวียนเลือดที่ไม่สมบูรณ์และระบบเผาผลาญที่ทำงานหนักกว่าปกติ
- หัวใจเต้นแรงหรือเร็วผิดปกติ : คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตได้จากการสัมผัสหน้าอกหรือจับชีพจรของลูก หากรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงหรือเร็วผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์
- ริมฝีปาก นิ้วมือ นิ้วเท้าเขียว : อาการเขียวบริเวณปลายมือ ปลายเท้า หรือริมฝีปาก มักเกิดจากการที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจากภาวะเลือดไปปอดน้อยและมีการไหลลัดวงจรของเลือดจากขวาไปซ้าย ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณสำคัญของโรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดเขียว
การใส่ใจในสัญญาณเล็กๆ เหล่านี้ อาจช่วยให้ลูกได้รับโอกาสในการรักษาอย่างทันท่วงที และเติบโตได้อย่างแข็งแรงในระยะยาว หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบนำบุตรหลานไปปรึกษากุมารแพทย์หรือแพทย์โรคหัวใจเด็กโดยเร็ว
วิธีตรวจหาโรคหัวใจในเด็ก
เมื่อคุณพ่อคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เช่น ลูกหายใจเร็ว เหนื่อยง่าย หรือลูกหัวใจเต้นเร็วมากผิดปกติ การพบแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจเด็กเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง
แพทย์จะประเมินทั้งโครงสร้างและการทำงานของหัวใจอย่างละเอียด โดยใช้หลากหลายวิธี ดังนี้
- ซักประวัติ : แพทย์จะสอบถามอาการของเด็กที่มี เช่น หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย ตัวเขียว หรือหมดสติ ซึ่งอาจรวมถึงการสอบถามพัฒนาการและประวัติสุขภาพของครอบครัว โดยเฉพาะโรคหัวใจแต่กำเนิดเพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการตรวจเพิ่มเติมในขั้นตอนต่อไป
- ตรวจร่างกายและฟังเสียงหัวใจ : แพทย์จะใช้หูฟังเสียงหัวใจ (Stethoscope) ตรวจดูเสียงหัวใจว่าเต้นปกติหรือไม่ หากมีเสียงฟู่ (Heart murmur) หรือจังหวะเต้นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติภายในหัวใจ
- วัดระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximetry) : การวัดปริมาณออกซิเจนในเลือดจากปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้าทั้งสองข้าง เป็นวิธีที่ใช้คัดกรองเบื้องต้น หากค่าที่ได้ต่ำกว่าปกติ อาจบ่งชี้ว่าเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด
- เอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) : ช่วยประเมินขนาดและรูปร่างของหัวใจรวมถึงลักษณะของเส้นเลือดในปอด หากหัวใจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ หลอดเลือดในปอดมีขนาดหรือการเรียงตัวที่ผิดปกติ หรือการมีน้ำคั่งในปอดก็อาจบ่งชี้ถึงภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งที่อายุน้อยได้
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - ECG/EKG) : เป็นการตรวจจังหวะและการทำงานของหัวใจผ่านสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งสามารถระบุความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจรวมถึงปัญหาที่อาจเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ผิดปกติ
- อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiography) : เป็นเครื่องมือหลักในการวินิจฉัยโรคหัวใจในเด็ก โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวของหัวใจแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เห็นถึงโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ
การตรวจเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ และวางแผนการรักษาได้ตรงจุด ยิ่งตรวจพบเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสช่วยให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว
การรักษาโรคหัวใจในเด็กทำได้อย่างไรบ้าง?

โรคหัวใจในเด็กมีหลายระดับความรุนแรง และแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อาการของเด็ก และความเหมาะสมในแต่ละราย โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุดสำหรับเด็กแต่ละคน ซึ่งอาจประกอบด้วยทางเลือกดังต่อไปนี้
1. รักษาโดยการใช้ยา : ในบางกรณีที่เด็กมีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์อาจใช้ยาเพื่อควบคุมอาการและช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น เช่น
- ยาขับปัสสาวะ : เพื่อช่วยลดปริมาณของเหลวในร่างกายและลดภาระการทำงานของหัวใจ
- ยาลดความดันโลหิต : ช่วยให้การสูบฉีดของหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ : สำหรับเด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ยารักษาภาวะอื่นที่มีผลต่อหัวใจ : เช่น ยาธาตุเหล็กในเด็กที่มีภาวะโลหิตจาง หรือยาปรับระดับฮอร์โมนในผู้ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติจนส่งผลต่อหัวใจ
2. การสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) : เป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กใส่เข้าไปผ่านหลอดเลือด เพื่อแก้ไขความผิดปกติของหัวใจ เช่น
- การขยายลิ้นหัวใจที่ตีบด้วยบอลลูน (Balloon Valvuloplasty)
- การปิดรูรั่วของผนังหัวใจด้วยอุปกรณ์เฉพาะ
3. การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (Ablation Therapy) : ในกรณีที่เด็กมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรง แพทย์อาจใช้เทคนิคนี้ทำลายเนื้อเยื่อหัวใจที่ผิดปกติ เพื่อลดอาการและปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
4. การผ่าตัด : หากโรคหัวใจในเด็กมีความรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ ก็อาจต้องใช้การผ่าตัดหัวใจในรูปแบบต่างๆ เช่น การผ่าตัดปิดรูรั่วของหัวใจ การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจหรือหลอดเลือดหัวใจ และผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างหัวใจผิดปกติในกรณีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
5. ติดตามและเฝ้าระวัง : สำหรับเด็กที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจยังไม่เริ่มการรักษาในทันที แต่จะนัดติดตามอย่างสม่ำเสมอ พร้อมให้คำแนะนำผู้ปกครองในการสังเกตอาการ หากพบความเปลี่ยนแปลง แพทย์จะพิจารณาเริ่มการรักษาที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม
การรักษาโรคหัวใจในเด็กไม่ได้มีวิธีเดียวที่ใช้ได้กับทุกคน แต่ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่แม่นยำ ร่วมกับการวางแผนการดูแลแบบเฉพาะราย โดยมีเป้าหมายคือให้เด็กสามารถเติบโตอย่างแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับเด็กทั่วไปมากที่สุด
โรคหัวใจในเด็ก สัญญาณภัยที่ต้องคอยหมั่นสังเกต
โรคหัวใจในเด็กเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพในระยะยาวหรืออาจอันตรายถึงชีวิตได้ การเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว ตัวเล็กผิดปกติ หรือตัวเขียว จะช่วยให้การวินิจฉัยทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
เพื่อที่จะทำให้ลูกได้รับการรักษาที่เหมาะสมและช่วยให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรงพยาบาลพระราม 9 ก็จะมีสถาบันหัวใจและหลอดเลือด ทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย และรักษาโรคหัวใจในเด็กอย่างครบวงจร เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อยและอนาคตที่สดใสห่างไกลโรคหัวใจ
หากมีคำถามหรือข้อสงสัยก็สามารถติดต่อได้ตามช่องทางด้านล่างนี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหัวใจในเด็ก
โรคหัวใจในเด็กเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกเกิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและแนวทางการดูแลจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมสุขภาพของเด็กได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบก็จะมี ดังนี้
1. ควรดูแลลูกที่เป็นโรคหัวใจในเด็กอย่างไร?
วิธีการดูแลเด็กที่มีภาวะโรคหัวใจก็จะขึ้นอยู่กับชนิดเเละความรุนแรงของโรคแต่โดยทั่วไปก็ควรดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารที่เพียงพอ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ควบคุมการออกกำลังกายให้เหมาะสม และเข้ารับการตรวจติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาการเขียว ก็ควรรีบพบแพทย์ทันที
References
Congenital Heart Disease. (2024, February 26). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21674-congenital-heart-disease
Congenital heart disease. (2021, September 7). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/congenital-heart-disease/
Story, C. M. (2023, June 20). Types of heart disease in children and teens. Healthline. https://www.healthline.com/health/heart-disease/in-children