บทความสุขภาพ

Knowledge

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

พญ. ปณิธิ โชลิตกุล

อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน เป็นสัญญาณที่หลายคนอาจมองข้าม แต่หากเกิดบ่อยครั้งและรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แล้วน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากอะไร อาการเป็นแบบไหน โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน กี่วันหาย บทความนี้มีคำตอบ


Key Takeaways


  • น้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะรุนแรง บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน และการได้ยินลดลง
  • แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของน้ำ Endolymph ที่อยู่ในหูส่วนใน ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย
  • การรักษาทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้ยา ปรับพฤติกรรม ไปจนถึงการผ่าตัดในรายที่มีอาการรุนแรง

น้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไร?


โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ Meniere's Disease เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งมีเซลล์ประสาทที่ทําหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวและการได้ยินอยู่ เมื่อของเหลวที่เรียกว่า Endolymph ที่อยู่ในหูส่วนในมีปริมาณมากเกินไปหรือการไหลเวียนผิดปกติ จะกระทบต่อการทำงานของทั้งสองส่วนนี้ ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ หรือแม้แต่การได้ยินลดลงชั่วคราว


โรคนี้เกิดขึ้นกับเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งมีโอกาสเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในอัตราส่วน 2:1 มักพบบ่อยในคนอายุตั้งแต่ 40-60 ปี โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นในหูข้างใดข้างหนึ่ง แต่จะมีเพียง 15-20% เท่านั้น ที่เกิดความผิดปกติในหูทั้งสองข้าง


น้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง


น้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากอะไร

แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากอะไร แเต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการผลิต การดูดซึม หรือการไหลเวียนของของเหลว Endolymph ในหูชั้นใน โดยปัจจัยต่าง ๆ มีดังนี้


  • ความผิดปกติของโครงสร้างหูชั้นในตั้งแต่กำเนิด
  • หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อไวรัสในหูชั้นใน ติดเชื้อซิฟิลิส อาจทำให้เกิดการอักเสบและส่งผลต่อระบบการทรงตัว
  • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหรือหู อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของหูชั้นใน
  • โรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในรายที่เป็นภูมิแพ้รุนแรง
  • โรคทางต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือโรคไทรอยด์ บางครั้งอาจมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและส่งผลกระทบต่อหูชั้นในได้
  • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และการทานอาหารรสเค็มจัด ก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน อาการเป็นอย่างไร?


อาการของน้ำในหูไม่เท่ากัน มักจะเกิดเป็นช่วง ๆ และความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยหากน้ำในหูไม่เท่ากัน จะมีอาการที่พบบ่อย ได้แก่


  • อาการเวียนศีรษะรุนแรง รู้สึกว่าบ้านหมุน โคลงเคลง หรือมีปัญหาทางด้านการทรงตัว บางรายอาจคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
  • การได้ยินเสื่อม (Hearing Loss) ทำให้หูอื้อ ได้ยินเสียงลดลง หรือรู้สึกแน่นในหู โดยอาการเหล่านี้มักเป็น ๆ หาย ๆ สลับกันไป ในระยะยาวอาจเสี่ยงหูหนวกได้
  • มีเสียงดังในหู (Tinnitus) ได้ยินเสียงหวีด เสียงหึ่ง หรือเสียงอื่น ๆ ในหู โดยที่ไม่มีเสียงภายนอก

อาการเหล่านี้ อาจคงอยู่ตั้งแต่ 20 นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง และความถี่ของการเกิดอาการก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการน้ำในหูไม่เท่ากันและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป


แยกอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน กับอาการเวียนศีรษะแบบอื่น


อาการน้ําในหูไม่เท่ากัน

การแยกอาการน้ำในหูไม่เท่ากันออกจากอาการเวียนศีรษะรูปแบบอื่น ๆ จะพิจารณาจากลักษณะอาการเฉพาะ เช่น ผู้ป่วยเวียนหัวรุนแรงจนไม่สามารถทรงตัวได้ดี มักมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีอาการทางหูร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น หูอื้อ แน่นหู มีเสียงดังในหู หรือการได้ยินลดลง ซึ่งอาการทางหูเหล่านี้มักจะเกิดในหูข้างเดียวกับที่เวียนศีรษะ


ในทางกลับกัน อาการเวียนศีรษะจากสาเหตุอื่น ๆ จะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป เช่น ประสาททรงตัวอักเสบ (Vestibular Neuritis) จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะรุนแรงต่อเนื่อง 3-7 วัน พร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน แต่จะไม่มีอาการหูอื้อหรือการได้ยินลดลง


ขณะที่โรคหินปูนหลุดในหูชั้นใน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo : BPPV) มักจะเกิดเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางศีรษะอย่างรวดเร็ว เช่น การลุกจากเตียง หรือพลิกตัว โดยอาการมักคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีถึงนาที และไม่มีอาการทางหูร่วมด้วย


ส่วนอาการเวียนศีรษะที่เกี่ยวข้องกับไมเกรน ผู้ป่วยมักมีประวัติปวดศีรษะไมเกรน และอาการเวียนศีรษะอาจเกิดขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังปวดศีรษะไมเกรน โดยอาจไม่มีอาการทางหูร่วม เป็นต้น


การวินิจฉัยน้ำในหูไม่เท่ากัน ต้องทำอะไรบ้าง


การวินิจฉัยน้ำในหูไม่เท่ากัน แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับการเกิดอาการ ความรุนแรง ความถี่ และปัจจัยกระตุ้น รวมถึงประวัติการเจ็บป่วยอื่น ๆ และยาที่ใช้อยู่ จากนั้นจะมีการตรวจร่างกายและตรวจพิเศษต่าง ๆ ได้แก่


  • การตรวจการได้ยิน เพื่อประเมินประสิทธิภาพการรับเสียง
  • การตรวจการทำงานของระบบการทรงตัว เช่น Electronystagmography (ENG) หรือ Electrocochleography (ECoG) ในบางราย
  • การตรวจทางรังสีวิทยา เช่น MRI หรือ CT scan ของสมองและหูชั้นใน เพื่อแยกแยะสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน เช่น ความผิดปกติของสมอง หรือเนื้องอกเส้นประสาทการทรงตัว
  • การตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่น ๆ เช่น การตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ หรือระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน

วิธีการรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน ลดอาการเวียนหัวให้ดีขึ้น


อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน วิธีรักษา

อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน มีวิธีรักษาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย โดยวิธีที่ใช้ในการรักษา มีดังนี้


  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พร้อมควบคุมอาหาร สำหรับคำถามว่าผู้ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน ห้ามกินอะไร จะเน้นไปที่การลดโซเดียม คาเฟอีน และแอลกอฮอล์เป็นหลัก
  • การรักษาด้วยยา : ได้แก่ ยาบรรเทาอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน และ ยาขยายหลอดเลือด(Berahistine) ซึ่งมีส่วนช่วยปรับการไหลเวียนของเลือดในหูชั้นใน และยาขับปัสสาวะ เพื่อลดการคั้งของน้ำในหูชั้นใน
  • การฉีดยาเข้าหูชั้นกลาง : ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา แพทย์อาจพิจารณาฉีดยา เช่น สเตียรอยด์ หรือ Gentamicin เข้าไปในหูชั้นกลาง เพื่อลดการอักเสบหรือทำลายเซลล์ที่สร้างสัญญาณผิดปกติ
  • การผ่าตัด : เป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การผ่าตัดระบายของเหลวในหูชั้นใน (Endolymphatic Sac Surgery) หรือการผ่าตัดเส้นประสาททรงตัว (Vestibular Neurectomy)

อาการน้ำในหูไม่เท่ากันดีขึ้นได้ เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที


น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคมีเนีย เป็นความผิดปกติของหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะรุนแรง บ้านหมุน หูอื้อ ได้ยินลดลง และคลื่นไส้ อาเจียน แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การวินิจฉัยที่รวดเร็วกับการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการ ลดความถี่โรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ดี


หากคุณมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือมีปัญหาการได้ยินที่ผิดปกติ แนะนำให้เข้ารับการตรวจและรักษากับแพทย์เฉพาะทางทันที ซึ่งที่ศูนย์หู คอ จมูก โรงพยาบาลพระรามเก้า เรามีทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย สามารถทำการตรวจรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันอย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับน้ำในหูไม่เท่ากัน


น้ำในหูไม่เท่ากัน บรรเทาอาการด้วยตัวเองอย่างไร?


การบรรเทาอาการน้ำในหูไม่เท่ากันด้วยตัวเองเบื้องต้น ทำได้โดยการนอนพักในที่เงียบสงบและมืด ทานยาเพื่อบรรเทาอาการ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ อาหารเค็มจัด และพยายามควบคุมความเครียด หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์


น้ำในหูไม่เท่ากัน นานไหมกว่าจะหาย


ถึงแม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการปรับพฤติกรรมและการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการได้เป็นอย่างดี


References


Mayo Clinic Staff. (2024, January 3). Meniere's disease. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menieres-disease/symptoms-causes/syc-20374910


Ménière's disease. (2023, Apri 25). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/menieres-disease/


Ménière’s Disease. (2025, June 6). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15167-menieres-disease

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ปณิธิ โชลิตกุล

พญ. ปณิธิ โชลิตกุล

ศูนย์หู คอ จมูก

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

ขี้หูมาจากไหน

ขี้หูผลิตจากต่อมในหูชั้นนอก ซึ่งช่วยดักจับสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปในหู โดยปกติขี้หูสามารถเคลื่อนตัวจากหูชั้นในออกมาช่องหูชั้นนอกได้เองตามธรรมชาติ การใช้ไม้พันสำลีปั่นหูหรือแคะหูจึงไม่ใช้เรื่องจำเป็นและอาจส่งผลเสียตามมาอีกด้วย

นอนกรน มหัตภัยร้ายอาจถึงตาย !!

เสียงกรน ไม่ได้เป็นเพียงเสียงรบกวนผู้อื่นในขณะนอนหลับแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังแฝงอันตรายถึงชีวิตได้โดยที่คุณเองอาจไม่ทราบมาก่อน เสียงกรน คือ เสียงของการสั่นพลิ้วสะบัดของลิ้นไก่ เนื้อเยื้อบริเวณเพดานอ่อน และช่องคอส่วนบน

รักษานอนกรนด้วยการร้อยไหม เจ็บน้อย หายเร็ว อีกหนึ่งทางเลือกการรักษานอนกรน

การนอนกรนถือเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เทคนิคการรักษานอนกรนด้วยการร้อยไหม เป็นการรักษาที่เจ็บน้อย แผลเล็ก หายเร็ว จึงเป็นทางเลือกการรักษานอนกรนอีกวิธีหนึ่ง

ตรวจหูดีอย่างไร อาการแบบไหนบ้างที่ควรตรวจหู?

หูเป็นอวัยวะที่ช่วยในการสื่อสาร การทำงาน และการเรียนรู้ต่าง ๆ การตรวจหูจะช่วยทำให้ตรวจพบความปกติของหูได้ก่อน ช่วยป้องกันภาวะสูญเสียการได้ยินซึ่งพบได้ในวัยเด็กแรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ หากมีอาการผิดปกติของหู และมีความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการได้ยิน ยิ่งไม่ควรละเลยการตรวจหู เพื่อป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

การผ่าตัดประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) สำหรับผู้สูญเสียการได้ยิน

ปัญหาการได้ยิน หากพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นความผิดปกติได้เร็วและรีบเข้ารับการรักษา จะทำให้เด็กสามารถได้ยินเสียงและมีพัฒนาการการเรียนรู้และการสื่อสารที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ ในวัยผู้ใหญ่หากเครื่องช่วยฟังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การฝังประสาทหูเทียมเป็นทางเลือกหนึ่ง

ไซนัสอักเสบ ปัญหากวนใจที่รักษาได้

ไซนัสอักเสบมักเกิดจากเป็นหวัดนานเกินสัปดาห์ จนติดเชื้อเข้าไปในโพรงไซนัส ทำให้อาการแย่ลง การรักษายากขึ้น และหากปล่อยไว้อาจเรื้อรังเป็นเดือน ๆ ได้ จึงควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก เพื่อการรักษาที่สาเหตุของโรค

บอกลาไซนัสเรื้อรัง ด้วยการผ่าตัดไซนัสแบบส่องกล้อง ฟื้นตัวไว ไร้รอยแผล

การผ่าตัดไซนัสด้วยการส่องกล้องเป็นวิธีการรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีแผลเล็กและใช้เวลาพักฟื้นน้อย โดยใช้กล้องที่ติดอยู่กับเครื่องมือพิเศษเพื่อทำการผ่าตัดผ่านทางจมูก ช่วยลดความเสียหายของเนื้อเยื่อโดยรอบและให้ประสิทธิภาพการรักษาที่สูง

นอนกรนอาจเสี่ยงถึงชีวิต รีบตรวจ Sleep test และวางแผนรักษาให้หายแต่เนิ่น ๆ

นอนกรนอาจไม่ใช่มีปัญหาแค่เสียงรบกวน แต่อาจเสี่ยงต่อชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ? กินหมู…ไม่ได้ทำให้หูดับ แต่หากกินหมูดิบ หรือ กึ่งสุกกึ่งดิบ คุณเสี่ยงกับ โรคไข้หูดับ อันตรายถึงชีวิตได้ โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital