บทความสุขภาพ

Knowledge

ไซนัสอักเสบ ปัญหากวนใจที่รักษาได้ อย่าปล่อยไว้จนเรื้อรัง

โดยปกติไข้หวัดจะเป็นอยู่ไม่กี่วันก็สามารถหายได้เอง แต่หากมีอาการหวัดที่ยาวนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นหลายเดือน อาจไม่ใช่เพียงไข้หวัดธรรมดา แต่อาจเป็นอาการของ ‘ไซนัสอักเสบ’ ที่สามารถพบได้บ่อยหลังเป็นหวัด ด้วยเหตุนี้ หากพบอาการหวัดที่มีระยะยาวกว่าปกติ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะไซนัสอักเสบอาจลุกลาม รักษายากขึ้นและมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้


Key Takeaways


  • ไซนัสอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย มีพบเชื้อราได้บ้าง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจทำให้เกิดไซนัสอักเสบได้ง่าย เช่น กลุ่มโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โครงสร้างจมูกผิดปกติ การติดเชื้อรากฟัน การสูบบุหรี่และมลภาวะเป็นพิษ
  • อาการไซนัสอักเสบคล้ายกับไข้หวัด แต่มีความรุนแรงและเป็นระยะเวลานานกว่า ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดโพรงจมูก ได้กลิ่นลดลง ในบางรายอาจมีอาการไอ ปวดศรีษะ ลมหายใจมีกลิ่น เป็นต้น
  • การรักษาไซนัสอักเสบสามารถทำได้โดยการล้างจมูก การใช้ยา และการผ่าตัดในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยา มีการติดเชื้อซ้ำบ่อย ๆ หรือติดเชื้อรา

ไซนัสคืออะไร?


ก่อนที่จะทำความเข้าใจเรื่องไซนัสอักเสบ เราต้องทราบก่อนว่า ‘ไซนัส’ คืออะไร?


ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศขนาดเล็กที่อยู่บริเวณกะโหลกศีรษะ โดยมีอยู่ด้วยกัน 4 ตำแหน่ง วางตัวเป็นคู่ในฝั่งซ้ายและขวาของกะโหลกศีรษะ ดังนี้


  1. หน้าผากใกล้หัวคิ้ว
  2. ระหว่างหัวตาและสันจมูก
  3. หน้าแก้ม
  4. ด้านหลังโพรงจมูก

ไซนัสเหล่านี้จะมีเยื่อบุภายในที่คอยสร้างมูก และมีรูเปิดเชื่อมต่อถึงกันกับโพรงจมูก ทำให้สามารถระบายมูกออกจากโพรงไซนัส และช่องว่างเหล่านี้จะมีอากาศไหลเวียนภายใน โดยในทางวิวัฒนาการ ไซนัสมีประโยชน์หลายอย่าง ได้แก่ ช่วยให้กะโหลกศีรษะมีน้ำหนักเบาลง ช่วยเพิ่มความก้องของเสียงที่เปล่งออกมา ช่วยป้องกันการกระแทกไม่ให้ถึงส่วนลึกของใบหน้า เป็นฉนวนป้องกันฐานสมองจากความร้อนเย็นภายนอก ช่วยเพิ่มอุณหภูมิและความชื้นให้กับลมหายใจเข้า นอกจากนั้น มูกที่เยื่อบุไซนัสผลิตออกมายังช่วยป้องกันการติดเชื้ออีกด้วย


ไซนัสอักเสบคืออะไร?


ไซนัสอักเสบ คือ การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงไซนัส ทำให้เยื่อบุบวมขึ้น และเกิดการคั่งของมูกภายในไซนัส โดยสาเหตุมักมาจากการติดเชื้อ และ/หรือภูมิแพ้


โรคไซนัสอักเสบแบ่งได้เป็น 3 ชนิดตามระยะเวลาและสาเหตุของการอักเสบ ดังนี้


  1. ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คือ มีอาการมาไม่เกิน 4 สัปดาห์
  2. ไซนัสอักเสบกึ่งเฉียบพลันกึ่งเรื้อรัง คือ มีอาการมานาน 1 ถึง 3 เดือน
  3. ไซนัสอักเสบเรื้อรัง คือ มีอาการมานานกว่า 3 เดือน สาเหตุอาจเกิดจากแบคทีเรีย มีติดเชื้อราซ้ำซ้อน หรืออาจเป็นการอักเสบเรื้อรังจากภูมิแพ้

อาการไซนัสอักเสบ


ไซนัสอักเสบอาการ

ไซนัสอักเสบมักเกิดหลังจากเป็นไข้หวัด ที่อาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงหลังจากเป็นมาแล้ว 7-10 วัน โดยผู้ป่วยไซนัสอักเสบมักมีอาการที่พบบ่อย ดังนี้


  • ปวดโพรงจมูก เบ้าตา ปวดศรีษะ
  • กดเจ็บบริเวณของไซนัส (แก้ม หัวตา หรือหน้าผาก)
  • คัดจมูก รู้สึกตื้อแน่นในจมูก
  • มีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลือง
  • ได้กลิ่นลดลง
  • มีไข้

โดยผู้ป่วยไซนัสอักเสบในบางรายอาจมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย


  • ปวดฟัน
  • มีกลิ่นปาก หรือลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
  • ไอ รู้สึกน้ำมูกไหลลงคอ
  • รู้สึกหูอื้อ การได้ยินลดลง
  • กรนขณะหลับ
  • เสียงพูดขึ้นจมูก
  • ในเด็กเล็กอาจมีอาการหงุดหงิด งอแง กินได้น้อยลง และหายใจทางปาก

ไซนัสอักเสบ เกิดจากอะไร?


ไซนัสอักเสบมักเกิดตามหลังการเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากการติดเชื้อในช่วงแรกทำให้เยื่อบุโพรงจมูกและรูเปิดของโพรงไซนัสจะมีการบวมอักเสบเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อการติดเชื้อลุกลาม รูเปิดของโพรงไซนัสตีบแคบลง จึงมีการคั่งค้างของมูกภายในโพรงไซนัส ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การเติบโตของเชื้อโรค ส่งผลให้อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยไซนัสอักเสบรุนแรงมากยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ นอกจากการเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดไซนัสอักเสบ ดังนี้


  • โรคภูมิแพ้ ทำให้เยื่อบุรูเปิดโพรงไซนัสเกิดการอักเสบและบวมได้ง่าย
  • โรคที่มีความผิดปกติของขนเส้นเล็ก ๆ (Cilia)ในเยื่อบุจมูกและโพรงไซนัส ไม่สามารถทำหน้าที่พัดโบกขับมูกออกมาระบายสู่ภายนอกไซนัสได้
  • มีความผิดปกติในโพรงจมูกที่เบียดบังรูเปิดไซนัส เช่น ภาวะผนังกั้นจมูกคด (Deviated Nasal Septum) กระดูกงอกในโพรงจมูก (Nasal Bone Spur) หรือริดสีดวงจมูก (Nasal Polyp) เป็นต้น โดยมีจุดสังเกตคือผู้ป่วยมักเป็นไซนัสอักเสบในฝั่งที่มีความผิดปกติเพียงข้างเดียว
  • การติดเชื้อที่ลุกลามมาจากอวัยวะอื่น เช่น การติดเชื้อที่รากฟัน
  • การมีสิ่งแปลกปลอมในรูจมูก พบได้ในเด็กเล็ก

ภาวะแทรกซ้อนเมื่อเป็นไซนัสอักเสบ


ไซนัสอักเสบอาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนี้


  • โรคทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ เยื่อบุลำคออักเสบ กล่องเสียงอักเสบ หลอดลมอักเสบ หอบหืด
  • ไซนัสขึ้นตาอาจทำให้เยื่อบุรอบดวงตาอักเสบ ปวดตา ตาบวม หรืออาจเกิดฝีในเบ้าตา ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น
  • การติดเชื้อไซนัสอักเสบที่ลามไปยังกระดูกและไขกระดูกบริเวณไซนัส
  • ไซนัสอักเสบที่ลามไปยังสมอง อาจทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง

การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ


การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบได้จากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และสามารถใช้วิธีการตรวจด้วยเครื่องมือการแพทย์เพื่อยืนยันผลวินิจฉัย เช่น


  • การส่องดูภายในโพรงจมูกด้วยกล้องเอนโดสโคป (Nasal Endoscope)
  • การตรวจ CT Scan สำหรับตรวจโพรงไซนัส (CTscan of Sinus)
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

โดยการตรวจด้วยเครื่องมือการแพทย์เหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เห็นพยาธิสภาพภายในโพรงไซนัสอย่างชัดเจน สามารถระบุตำแหน่งและระดับความรุนแรงของการอักเสบได้อย่างถูกต้องมากขึ้น


ไซนัสอักเสบรักษาอย่างไร?


การล้างจมูก


การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยระบายมูกข้นเหนียวที่คั่งค้างอยู่ในโพรงจมูกและไซนัสออกมา เชื้อโรคและ/หรือสารก่อภูมิแพ้ก็จะถูกชะล้างไปด้วย จึงเป็นการรักษาทางกายภาพที่ตรงจุดและทำได้ง่าย เมื่อในโพรงจมูกและไซนัสโล่งขึ้นการอักเสบจึงลดลง แต่มีข้อควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนี้


  • ควรใช้อุปกรณ์ล้างจมูกที่ถูกต้องและน้ำเกลือสำหรับทำความสะอาดที่ปลอดเชื้อ
  • ไม่ใช้อุปกรณ์ล้างจมูกร่วมกับผู้อื่น
  • งดเว้นการเบ่งสั่งน้ำมูกแรงๆ ขณะล้างหรือหลังการล้างจมูก เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดภาวะหูชั้นกลางอักเสบได้
  • หากล้างจมูกแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหูรุนแรง เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำ

การรักษาด้วยยา


การรักษาด้วยยาเป็นวิธีรักษาพื้นฐานสำหรับไซนัสอักเสบ ชนิดของยาขึ้นอยู่กับอาการและสาเหตุ


  1. ยาบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาลดน้ำมูก (Antihistamines) ยาหดหลอดเลือด (Decongestant) เพื่อลดการคัดจมูก เป็นต้น
  2. ยาปฏิชีวนะ ใช้ในกรณีที่ไซนัสอักเสบมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  3. ยาลดการอักเสบ ในผู้ป่วยที่มีโรคภูมิแพ้และไซนัสอักเสบร่วมกัน แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก
  4. หากมีการติดเชื้อราหรือมีความผิดปกติในโพรงจมูก การใช้ยาเพียงอย่างเดียวมักไม่ได้ผล จึงต้องมีการรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมด้วย

การรักษาด้วยการผ่าตัด


ไซนัสอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา กลับเป็นซ้ำบ่อยครั้ง มีการติดเชื้อรา หรือมีสาเหตุจากภาวะผิดปกติของโครงสร้างในโพรงจมูก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อแก้ไข โดยในปัจจุบันการผ่าตัดไซนัสด้วยการส่องกล้องเป็นวิธีการผ่าตัดที่ได้ผลดี ปลอดภัย และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก


การรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง


การผ่าตัดไซนัสผ่านกล้องเอนโดสโคป (Functional Endoscopic Sinus Surgery; FESS) เป็นการส่องกล้องเข้าไปทางรูจมูก เพื่อผ่าตัดขยายรูเปิดไซนัสให้กว้างขึ้น ทำให้ระบายมูกออกไปได้ดี แก้ไขความผิดปกติในโพรงจมูกที่เป็นสาเหตุของโรค นอกจากนั้นยังสามารถผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเนื้องอกต่างๆออกมาได้โดยไม่มีแผลผ่าตัดภายนอก อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนี้จำเป็นต้องมีการวางยาสลบและใส่ท่อช่วยหายใจระยะเวลาการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค แต่มีข้อดี คือ การเสียเลือดค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยปวดแผล พักรักษาในโรงพยาบาลเพียง 1-2 คืน ก็สามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้


การป้องกันไซนัสอักเสบที่คุณเองก็ทำได้


การป้องกันไซนัสอักเสบที่ดีที่สุด คือ การป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นไข้หวัด หรือหากเจ็บป่วยแล้วก็ควรพักผ่อนเพื่อดูแลรักษาให้หายเร็วที่สุด ไม่ฝืนร่างกาย หรือหักโหมทำงานจนปล่อยให้เป็นหวัดอยู่นาน โดยแนวทางดังต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพื่อป้องกันโรคไซนัสอักเสบ


  • ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
  • ล้างมือด้วยสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือบ่อย ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
  • หากเป็นภูมิแพ้ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • และควบคุมอาการโดยเร็วที่สุด
  • เลี่ยงควันบุหรี่ มลภาวะ และฝุ่น PM2.5 ที่อาจทำให้เยื่อบุในโพรงจมูกระคายเคือง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ เพื่อการขับมูกในโพรงไซนัสที่เป็นปกติ
  • นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกาย ผ่อนคลายจากความเครียด
  • หากเป็นไข้หวัดนานหรือสงสัยอาการของโรคไซนัสอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง

ไซนัสอักเสบ รีบรักษา อย่าปล่อยให้ลุกลามเรื้อรัง


ไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย และหายช้ากว่าไข้หวัดทั่วไป สามารถแบ่งได้ง่ายๆเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลันอาการเป็นน้อยกว่า 4 สัปดาห์ และระยะเรื้อรังอาการเป็นมากกว่า 12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อยู่หลายครั้งในหนึ่งปี การรักษาไซนัสอักเสบจึงมีความสำคัญมากที่ต้องอาศัยการวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อค้นหาสาเหตุและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม


โรงพยาบาลพระรามเก้า พร้อมด้วยบริการตรวจวินิจฉัยโรคโดยแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการรักษาที่ตรงจุด และหายจากโรคได้อย่างมีคุณภาพ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไซนัสอักเสบ


1. โรคไซนัสอักเสบกับหวัดแตกต่างกันอย่างไร?


ไข้หวัด (Cold) มักเกิดจากการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ส่วนมากมักมีอาการเพียง 1-2 สัปดาห์และหายได้เอง ส่วนไซนัสอักเสบ (Sinusitis) มักเกิดจากการอักเสบติดเชื้อของเยื่อบุโพรงจมูกและไซนัสตามหลังจากไข้หวัดที่อาการไม่ดีขึ้น หรือการอักเสบที่มาจากโรคภูมิแพ้


2. ไซนัสอักเสบ เมื่อเป็นแล้วมักจะกลับมาเป็นซ้ำบ่อย ๆ จริงหรือไม่?


ไม่เสมอไป กรณีที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โอกาสจะกลับมาเป็นไซนัสซ้ำมีน้อย ทั้งนี้หากเป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน แต่ไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด หรือเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ไซนัสที่มาจากโรคภูมิแพ้ มักไม่ค่อยหายขาด และต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง


References


Mayo Clinic Staff. (2023, September 19). Chronic sinusitis. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/chronic-sinusitis/symptoms-causes/syc-20351661


Sinus Infection (Sinusitis). (2023, March 9). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17701-sinusitis


Sinusitis. (2023, July). Healthdirect. https://www.healthdirect.gov.au/sinusitis


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

ขี้หูมาจากไหน

ขี้หูผลิตจากต่อมในหูชั้นนอก ซึ่งช่วยดักจับสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปในหู โดยปกติขี้หูสามารถเคลื่อนตัวจากหูชั้นในออกมาช่องหูชั้นนอกได้เองตามธรรมชาติ การใช้ไม้พันสำลีปั่นหูหรือแคะหูจึงไม่ใช้เรื่องจำเป็นและอาจส่งผลเสียตามมาอีกด้วย

นอนกรน มหัตภัยร้ายอาจถึงตาย !!

เสียงกรน ไม่ได้เป็นเพียงเสียงรบกวนผู้อื่นในขณะนอนหลับแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังแฝงอันตรายถึงชีวิตได้โดยที่คุณเองอาจไม่ทราบมาก่อน เสียงกรน คือ เสียงของการสั่นพลิ้วสะบัดของลิ้นไก่ เนื้อเยื้อบริเวณเพดานอ่อน และช่องคอส่วนบน

รักษานอนกรนด้วยการร้อยไหม เจ็บน้อย หายเร็ว อีกหนึ่งทางเลือกการรักษานอนกรน

การนอนกรนถือเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เทคนิคการรักษานอนกรนด้วยการร้อยไหม เป็นการรักษาที่เจ็บน้อย แผลเล็ก หายเร็ว จึงเป็นทางเลือกการรักษานอนกรนอีกวิธีหนึ่ง

ตรวจหูดีอย่างไร อาการแบบไหนบ้างที่ควรตรวจหู?

หูเป็นอวัยวะที่ช่วยในการสื่อสาร การทำงาน และการเรียนรู้ต่าง ๆ การตรวจหูจะช่วยทำให้ตรวจพบความปกติของหูได้ก่อน ช่วยป้องกันภาวะสูญเสียการได้ยินซึ่งพบได้ในวัยเด็กแรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ หากมีอาการผิดปกติของหู และมีความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการได้ยิน ยิ่งไม่ควรละเลยการตรวจหู เพื่อป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

การผ่าตัดประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) สำหรับผู้สูญเสียการได้ยิน

ปัญหาการได้ยิน หากพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นความผิดปกติได้เร็วและรีบเข้ารับการรักษา จะทำให้เด็กสามารถได้ยินเสียงและมีพัฒนาการการเรียนรู้และการสื่อสารที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ ในวัยผู้ใหญ่หากเครื่องช่วยฟังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การฝังประสาทหูเทียมเป็นทางเลือกหนึ่ง

บอกลาไซนัสเรื้อรัง ด้วยการผ่าตัดไซนัสแบบส่องกล้อง ฟื้นตัวไว ไร้รอยแผล

การผ่าตัดไซนัสด้วยการส่องกล้องเป็นวิธีการรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีแผลเล็กและใช้เวลาพักฟื้นน้อย โดยใช้กล้องที่ติดอยู่กับเครื่องมือพิเศษเพื่อทำการผ่าตัดผ่านทางจมูก ช่วยลดความเสียหายของเนื้อเยื่อโดยรอบและให้ประสิทธิภาพการรักษาที่สูง

นอนกรนอาจเสี่ยงถึงชีวิต รีบตรวจ Sleep test และวางแผนรักษาให้หายแต่เนิ่น ๆ

นอนกรนอาจไม่ใช่มีปัญหาแค่เสียงรบกวน แต่อาจเสี่ยงต่อชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ? กินหมู…ไม่ได้ทำให้หูดับ แต่หากกินหมูดิบ หรือ กึ่งสุกกึ่งดิบ คุณเสี่ยงกับ โรคไข้หูดับ อันตรายถึงชีวิตได้ โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital