บทความสุขภาพ

Knowledge

ไตวายเฉียบพลันไม่ทันตั้งตัว! ภาวะอันตรายที่ต้องรีบรักษา

พญ. ชโลธร แต้ศิลปสาธิต

ไตวายเฉียบพลัน คือ ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงานอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการไตวาย เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ภาวะไตวายเฉียบพลันส่งผลต่อการขจัดของเสียและการรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยโรคไตวายเฉียบพลันมีอาการค่อนข้างรุนแรงและชัดเจนมาก เช่น ปัสสาวะลดลง, บวม, เหนื่อยล้า และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการไตวายเฉียบพลันเพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที


Key Takeaways


  • ไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็วและต้องได้รับการรักษาโดยทันที เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • สาเหตุไตวายเฉียบพลัน มีหลายปัจจัย เช่น เกิดจากภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ มีการติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย หรือจากการได้รับสารพิษ เป็นต้น
  • อาการไตวายเฉียบพลันที่มักสังเกตเห็นได้ชัด คือ ผู้ป่วยจะปัสสาวะน้อยลง มีอาการตัวบวม ร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการหายใจลำบาก
  • ไตวายเฉียบพลัน วิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เป็นไตวายเฉียบพลัน โดยเบื้องต้นจะมีการให้น้ำเกลือเพื่อปรับสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ไปจนถึงการฟอกไต
  • ไตวายเฉียบพลันสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลร่างกายให้ดี ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือการรับสารที่เป็นพิษต่อไต และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่อาการไตวายเฉียบพลัน

ไตวายเฉียบพลันคืออะไร มีประเภทใดบ้าง?


ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury: AKI) คือ ภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างฉับพลัน ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกายได้ตามปกติ อาการไตวายเฉียบพลันนั้นจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันเท่านั้น และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยภาวะไตวายเฉียบพลันสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่


  • ไตวายเฉียบพลันจากเลือดเลี้ยงไตไม่เพียงพอ (Prerenal Acute Kidney Failure) เกิดจากการไหลเวียนเลือดไปยังไตทำงานได้น้อยลง มีสาเหตุเช่น ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง (Dehydration), ความดันโลหิตต่ำ, ภาวะช็อกจากการขาดน้ำหรือเสียเลือดมาก, เป็นโรคหัวใจล้มเหลว, เป็นตับแข็ง, โรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome) หรือการใช้ยาบางชนิด
  • ไตวายเฉียบพลันจากพยาธิสภาพที่ไต (Intrinsic Acute Kidney Failure) เกิดจากการที่โครงสร้างภายในหรือเนื้อเยื่อในไตได้รับความเสียหาย มีสาเหตุเช่น ไตอักเสบ, ได้รับสารพิษที่ทำร้ายไต, การใช้ยาบางชนิด หรือการติดเชื้อรุนแรงในไต เป็นต้น
  • ไตวายเฉียบพลันจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ (Postrenal Acute Kidney Failure) เกิดจากการที่ทางเดินปัสสาวะบางส่วนอุดตัน มีสาเหตุเช่น เป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ, มะเร็งต่อมลูกหมาก, ต่อมลูกหมากโต หรือมีการอุดตันที่ท่อไตทั้งสองข้างหรือข้างเดียว

สาเหตุไตวายเฉียบพลัน รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้


สาเหตุไตวายเฉียบพลัน

ไตวายเฉียบพลันมักเกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัวและส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อไตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สาเหตุจากระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด และสาเหตุจากความเสียหายของไต สามารถแยกย่อยเป็นข้อต่าง ๆ ดังนี้


สาเหตุจากระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด ได้แก่


  • เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) จากการเสียของเหลวในร่างกายมากเกินไป กรณีเดียวกับการเสียเลือดมาก
  • มีการติดเชื้ออย่างรุนแรงในร่างกาย เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis หรือ Septic Shock) หรือการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19)
  • ความดันโลหิตต่ำเกินไป ไม่ว่าจะเป็นจากการเสียเลือด ขาดสารน้ำ ใช้ยาลดความดันโลหิตหรือโรคประจำตัว
  • เป็นโรคหัวใจ ซึ่งส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือภาวะหัวใจขาดเลือด

สาเหตุจากความเสียหายของไต ได้แก่


  • เป็นนิ่วในไตหรือเกิดการอุดตันในทางเกินปัสสาวะ ทำให้ระบบไหลเวียนภายในไตเกิดการติดขัดหรืออักเสบ
  • ไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการอุดตันภายในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต
  • ภาวะตับวาย หรือโรคตับแข็ง ซึ่งมีส่วนให้ไตสูญเสียความสามารถในการทำงาน
  • มีการใช้ยาบางชนิด ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไปยังไตน้อยลง ทำลายเนื้อเยื่อของไต หรือกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันทำให้ไตเสียสมดุล เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs อย่างไอบูโพรเฟน, แอสไพริน หรือนาพรอกเซน เป็นต้น
  • เป็นโรคไตอักเสบ (Glomerulonephritis) ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ
  • เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) มีความเสี่ยงเกิดโรคไตอักเสบ อันจะนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน
  • มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของไต เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพสารเสพติดเป็นประจำ ฯลฯ

นอกจากนี้ ไตวายเฉียบพลันอาจมีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลให้หลอดเลือดได้รับความเสียหายหรืออักเสบ เช่น โรคผิวหนังแข็ง (Scleroderma), โรค TTP หรือ Thrombotic Thrombocytopenic Purpura, กลุ่มอาการฮีโมไลติกยูรีมิก (Hemolytic Uremic Syndrome), ภาวะกล้ามเนื้อสลาย (Rhabdomyolysis), ภาวะการตายของเซลล์มะเร็ง (Tumor Lysis Syndrome), ต่อมลูกหมากโต, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น


อาการเตือนของภาวะไตวายเฉียบพลัน


ภาวะไตวายเฉียบพลันทำให้ร่างกายไม่สามารถขจัดของเสียและรักษาสมดุลของเหลวได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในบางกรณีอาจไม่สามารถจำแนกได้ว่าอาการดังกล่าวเกิดจากไตวายเฉียบพลันหรือไม่ ดังนั้นจึงอาจพิจารณาจากสัญญาณเตือนหลัก ๆ ได้ดังนี้


  • ปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 400 ซีซีต่อวัน หรือในบางรายอาจไม่มีปัสสาวะเลย
  • มีอาการบวมที่แขน, ขา, เท้า, ข้อเท้า หรือบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากการสะสมของเหลวในร่างกาย
  • รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือมีอาการง่วงนอนตลอดเวลา
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือสูญเสียความสามารถในการรับรส
  • รู้สึกหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย เนื่องจากการสะสมน้ำในปอด
  • มีอาการสับสน ไม่มีสติ หรือประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง
  • มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกถึงแรงกดดันที่หน้าอก
  • รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าท้องหรือหน้าท้องด้านข้าง ใกล้กับซี่โครง (สีข้าง)
  • อาจมีอาการชักหรือเข้าสู่ภาวะโคม่า เฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรงมาก
  • ความดันโลหิตสูงขึ้น

เช็กวิธีรักษาโรคไตเบื้องต้น


ภาวะไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ไตกลับมาทำงานได้ตามปกติ โดยไตวายเฉียบพลันจะมีแนวทางการรักษาสอดคล้องกับวิธีรักษาโรคไตเบื้องต้น โดยรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการและความรุนแรงของภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งต้องผ่านการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย


  • หยุดการใช้ยาที่อาจมีผลต่อการเกิดโรคไตวายเฉียบพลัน
    เนื่องจากบางกรณีไตวายเฉียบพลันอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยาต้านการอักเสบ NSAIDs หรือยาลดความดันบางชนิด แพทย์อาจปรับลดหรือหยุดยาเหล่านี้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้เกิดไตวายเฉียบพลันรุนแรง
  • ดูแลรักษาโรคที่เป็นสาเหตุไตวายเฉียบพลัน
    โดยหากเกิดจากการขาดน้ำหรือสูญเสียเลือด แพทย์จะทำการให้สารน้ำหรือเลือดเพิ่มเติม แต่หากเกิดจากภาวะติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะช็อก อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะหรือยากระตุ้นความดันโลหิตแทน เป็นต้น
  • ควบคุมระดับเกลือแร่และของเสียในเลือด
    ในกรณีที่ไตไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจต้องจำกัดการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และโซเดียมสูง เช่น กล้วย ผักใบเขียว และอาหารรสเค็ม เพื่อไม่ให้เสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย
  • เข้ารับฟอกไต (Dialysis) ในกรณีฉุกเฉิน
    หากภาวะไตวายเฉียบพลันรุนแรงจนระดับของเสียในร่างกายสูงผิดปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น น้ำท่วมปอดหรือโพแทสเซียมสูงจนเป็นอันตราย แพทย์อาจพิจารณาฟอกไตเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต

วิธีป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน


ป้องกันไตวายเฉียบพลัน

แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันไตวายเฉียบพลันได้ทุกกรณี แต่เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้โดยการดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงได้ มาดูกันว่ามีข้อควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง


  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน หรือหากมีอาการท้องเสีย อาเจียน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ ข้อนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะภาวะขาดน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของไตวายเฉียบพลัน
  • ดูแลและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี : โดยเฉพาะโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง อันเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมและไตวาย
  • ระวังการใช้ยาอย่างรอบคอบ : โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ที่อาจมีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังไต หากต้องการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • ระวังไม่ให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อรุนแรง : โดยเฉพาะการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้
  • ระมัดระวังอุบัติเหตุอยู่เสมอ : เนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ อาจมีโอกาสที่เราจะเสียเลือดในปริมาณมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุไตวายเฉียบพลันเช่นกัน
  • ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี : โดยเฉพาะหากคุณมีความเสี่ยงต่อโรคไต, เป็นเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง หรือเป็นผู้สูงอายุ ควรหมั่นสังเกตตัวเองและเข้ารับการตรวจสุขภาพเสมอ เพื่อตรวจหาความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ไตวายเฉียบพลันคืออะไร? ตอบประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาวะไตวายเฉียบพลันที่คุณควรรู้


ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury: AKI) เป็นภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียจากเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ของเสียและสารพิษสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยสาเหตุไตวายเฉียบพลันมีหลายปัจจัย เช่น การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงไตลดลง การอักเสบหรือความเสียหายของไตโดยตรง และการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ


อาการเตือนของภาวะไตวายเฉียบพลันมักสังเกตได้จากปัสสาวะที่ลดลง อาการบวมตามร่างกาย อาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ วิงเวียน หรือในบางกรณีอาจหายใจลำบาก ซึ่งถึงแม้ว่าภาวะไตวายเฉียบพลันจะเป็นภาวะที่อันตราย แต่สามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดโดยไม่ผ่านการพิจารณาจากแพทย์ ดูแลควบคุมอาการของโรคประจำตัวอย่างเคร่งครัด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหมั่นตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ การใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะไตวายเฉียบพลันและปกป้องการทำงานของไตให้มีประสิทธิภาพในระยะยาว


วิธีรักษาไตวายเฉียบพลันเองก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การให้สารน้ำเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังไต การปรับเปลี่ยนหรือหยุดใช้ยาที่อาจส่งผลต่อไต รวมถึงการควบคุมระดับเกลือแร่ในร่างกาย และในบางกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับการฟอกไต เพื่อให้ไตขจัดของเสียออกจากร่างกายได้ตามปกติ แต่หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการหรือแนวทางการดูแลไต สามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากแพทย์หรือสถาบันโรคไต เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไตวายเฉียบพลัน


1. ไตวายเฉียบพลันสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนใดบ้าง?


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังไตวายเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะน้ำเกินหรือภาวะบวมน้ำ (Hypervolemia), ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia), ภาวะผิดปกติในดุลย์กรด-ด่างของสารน้ำในร่างกาย (Metabolic Acidosis), ภาวะโลหิตจาง (Anemia), ภาวะไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) หรือภาวะเลือดออกผิดปกติ (Bleeding Disorders) เป็นต้น


2. ภาวะไตวายเฉียบพลันรักษาหายไหม?


หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา ไตสามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่รุนแรงหรือรักษาล่าช้า อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา


3. ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลัน?


ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, ผู้ที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อไต เช่น NSAIDs และยาปฏิชีวนะบางประเภท


References


NKF Patient Education Team. (2024, February 26). Acute Kidney Injury (AKI). National Kidney Foundation. https://www.kidney.org/kidney-topics/acute-kidney-injury-aki


Acute kidney injury. (2024, July 10). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/kidney-failure/symptoms-causes/syc-20369048


Acute kidney injury. (2022, September 8). National Health Service. https://www.nhs.uk/conditions/acute-kidney-injury/


Smith, T. (n.d.). Acute Kidney Injury (AKI). Kidney Research UK. https://www.kidneyresearchuk.org/conditions-symptoms/acute-kidney-injury/

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

การรักษาความผิดปกติของเม็ดสีบนผิวหนังด้วย Q-SWITCHED ND-YAG LASER

เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 2 รูปแบบ คือ 1,064 นาโนเมตร และ 532 นาโนเมตร (Frequency-double mode) โดยความกว้างของคลื่น (Pulse Width) 10-20 นาโนเซค และความถี่ 10 เฮริ์ท พลังงานประมาณ 5-7 จูลต่อตารางเซนติเมตร ใช้ในการรักษาความผิดปกติของเม็ดสีอย่างได้ผล เนื่องจากเลเซอร์ชนิดนี้ออกฤทธิ์ทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดสีที่มีลักษณะเป็นสีน้ำเงินถึงดำคล้ำ โดยแสงเลเซอร์สามารถทะลุทะลวงลงไปใต้ผิวได้ ประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร จึงเหมาะที่จะใช้ทำลายรอยดำคล้ำที่อยู่ลึกๆ ในชั้นหนังแท้อย่างได้ผล เช่น ริมฝีปากดำคล้ำ รอยสักคิ้ว รอยสักตามบริเวณลำตัว และกระแดด ที่มีลักษณะเป็นวง (Solar Lentigenes) หรือ กระลึกบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง (Nevus of Ota or Hori’s nevus)ความถี่ของการยิงเลเซอร์

อ่านเพิ่มเติม

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital