บทความสุขภาพ

Knowledge

ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปพบแพทย์ !

นพ. ศุภกิจ พิมลธเรศ

ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ (ปวดหลัง อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด)


เชื่อว่าเรา ๆ ท่าน ๆ คงเคยมีอาการ “ปวดหลัง” บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย อาจจะมีอาการเป็นวัน หรือบางคนอาจมีอาการเป็นเดือน เช่น ปวดจากการทำงานหนัก มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการทำท่าทางซ้ำ ๆ ในท่าเดิม ๆ โดยทั่วไปเป็นอาการปวดหลังที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังพัก และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่อาการปวดที่รุนแรง หรือมีอาการนานเป็นเดือน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มักจะมาจากสาเหตุที่อันตรายและรุนแรง การปวดหลังลักษณะนี้ต้องรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรีบหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง


อาการปวดหลังมีกี่แบบ?


อาการปวดหลังแบ่งได้เป็น 3 แบบตามระยะเวลาคือ

  1. ปวดแบบเฉียบพลัน (acute) คือ มีอาการปวดต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์
  2. ปวดแบบกึ่งเฉียบพลัน (subacute) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์
  3. ปวดแบบเรื้อรัง (chronic) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์

อาการปวดหลังส่วนบน


อาการปวดหลังส่วนบนมักเกิดร่วมกับอาการปวดคอ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างวันเช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการก้มเล่นมือถือนาน ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคออฟฟิต โดรม อาการปวดหลังส่วนบนนี้ อาจพบได้ในโรคของกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกคอ หรือข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ ที่ทำให้เกิดอาการปวดคอร่วมกับอาการปวดหลังส่วนบน


อ่านเพิ่มเติม อาการออฟฟิศซินโดรม: https://www.praram9.com/officesyndrome/


อาการปวดหลังช่วงเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังระดับเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) เป็นอาการปวดที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางออร์โธปิดิกส์หรือโรคทางกระดูกและข้อ


สาเหตุเกิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ จากกล้ามเนื้อหลัง หมอนรองกระดูกสันหลัง และจากข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวต่ำกว่าขอบของซี่โครงซี่ล่างสุด จนถึงบริเวณสะโพกและก้น มีอาการมากขึ้นหรือลดลงสัมพันธ์กับท่าทางการเคลื่อนไหว หรือการทำงาน หรืออาจปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับท่าทาง บางรายอาจมีอาการปวดกลางคืนมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ทั้งนี้ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคนั้น ๆ


** เช็กให้ชัวร์ว่าปวดบริเวณไหน? >> แนะนำแพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการปวด หลัง บ่า ไหล่


อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือด้านขวา


อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือปวดหลังด้านขวา มักมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ ข้อต่อกระดูกส่วนอก หรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ อุบัติเหตุ การกระแทก การเกร็งหรือยกของหนัก และสาเหตุอื่น ๆ เช่น แน่นหน้าอกจากสาเหตุทางโรคหัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก กรดไหลย้อน เยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคไต นิ่วในไต หรือปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง


ปวดหลังFig-1.jpg

อาการปวดหลังแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์


อาการปวดหลังที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่อาการปวดหลังที่เป็นอยู่นาน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมักมีอาการดังต่อไปนี้


  • ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังนานมากกว่า 3 เดือน (chronic low back pain)
  • มีอาการปวดรุนแรง พักหรือรับประทานยาแก้ปวดพื้นฐานแล้วไม่ดีขึ้น จนไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
  • ปวดร้าวลงมาต้นขา ขาหรือ ลงไปปลายเท้า ข้างใดข้างนึงหรือทั้ง 2 ข้าง
  • มีความรู้สึกที่ผิดปกติเช่น ชาขา เท้าหรือมีอาการแสบร้อน มีการอ่อนแรงของขา
  • ไม่สามารถนั่งหรือยืนเดินนานได้ ร่วมกับปวดร้าวลงขา

อาการเหล่านี้ มักมีสาเหตุมาจาก หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง หรือโพรงประสาทหลัง ไปเบียดหรือกดทับรากประสาทที่ลงมาขา จึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน อีกหนึ่งอาการของโรคของกระดูกสันหลังที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุคือ โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ


ปวดหลัง-fig-2.jpg

โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ


โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ (spinal stenosis) เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมาก เกิดจากความเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง (หมอนรองกระดูกเป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อกระดูกสันหลัง) ทำให้โพรงประสาทแคบลงจนไปเบียดรากประสาทหรือเบียดไขสันหลังซึ่งพบบ่อยมากที่ข้อกระดูกสันหลังระดับเอว


ปวดหลังFig-3.1.jpg

อาการของโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ


ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหลังส่วนล่างร้าวลงมาสะโพก มีอาการร้าวลงมาขาข้างนึงหรือสองข้าง บางครั้งมีอาการปวดร้าวลงไปปลายเท้า อาการจะเป็นมากขณะยืนหรือเดินเป็นเวลานาน บางครั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงขา ร่วมด้วย ต้องก้มตัว นั่งพัก บางคนต้องนั่งยอง ๆ เพื่อให้อาการดีขึ้นจนสามารถยืนและเดินต่อได้ อาการมักค่อยเป็นค่อยไป จนมากขึ้นจนทำให้ไม่สามารถยืนหรือเดินนานได้


ตรวจร่างกายมักจะพบ หลังช่วงเอวแอ่นน้อย ๆ หรือมีหลังค่อม ขยับหลังแล้วปวดร้าวลงขา ร่วมกับตรวจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงด้วยรากประสาทนั้น ๆ หรือความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น ชาหน้าแข้ง หรือหลังเท้า


ปวดหลัง-fig-4.jpg

การตรวจวินิจฉัยโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ


การวินิจฉัยมักใช้การถ่ายภาพรังสี จะพบความเสื่อมของหมอนรองกระดูกเอว ข้อต่อกระดูกสันหลัง บางครั้งพบความผิดรูปของข้อต่อ เช่น หลังคด (scoliosis) กระดูกเคลื่อน (spondylolisthesis) แพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยขยับตัวขณะถ่ายภาพเอกซเรย์ (motion film) เพื่อประเมินความไม่มั่นคงของข้อต่อกระดูกสันหลัง


แพทย์อาจแนะนำการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินตำแหน่งที่รากประสาทถูกกดทับ ความเสื่อมหมอนรองกระดูกตลอดจนระดับความรุนแรงของการตีบของโพรงประสาท


การรักษาโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ


เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ หรือการใช้งานข้อต่อกระดูกสันหลังมากเป็นเวลานาน การลดการใช้งาน หลีกเลี่ยงท่าทางที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น งดการยืนเดินเป็นเวลานาน ทำการฟื้นฟู รวมทั้งกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด ปรับท่าทางการใช้งานหลังให้ถูกต้อง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สำคัญ ร่วมกับการรับประทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลาหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้อาการหายไปได้


อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการอ่อนแรงขามากจนเดินยืนไม่ได้ อาการปวดรุนแรงไม่ดีขึ้นจากการทานยา มีความไม่มั่นคงของข้อต่อหลัง หรือมีอาการผิดปกติของการขับถ่าย เช่น กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ตลอดจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อไป


ข้อมูลเพิ่มเติม: ศูนย์กระดูกสันหลัง (Advanced Spine Center) รพ.พระรามเก้า



สรุป


เราทุกคนคงเคยปวดหลัง จึงอาจคิดว่าอาการปวดหลังเป็นเรื่องปกติที่เป็นกันได้ และหายเองได้ บางคนใช้วิธีหายาแก้ปวดมารับประทานเพื่อให้อาการดีขึ้น แต่หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดรุนแรง มีปวดร้าวไปที่ขาหรือเท้า มีอาการแสบร้อนหรือยืนหรือเดินไม่ได้ อาการเหล่านี้ คงไม่ใช่แค่อาการปวดหลังธรรมดา เพราะอาการปวดหลังนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติหรือโรคต่าง ๆ ดังนั้นจำเป็นต้องรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ศุภกิจ พิมลธเรศ

นพ. ศุภกิจ พิมลธเรศ

ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

EST คืออะไร? การตรวจสมรรถภาพหัวใจ Exercise Stress Test

EST (Exercise Stress Test) คือ การออกกำลังกายตรวจสมรรถภาพหัวใจ เป็นวิธีวินิจฉัยสุขภาพหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป EST มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออะไร รู้สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายดี

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออาการที่พบได้บ่อยในคนที่ใช้แรงเยอะ ๆ หรือเคยไหล่หลุดมาก่อน มาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุดได้บ้าง และจะต้องดูแลรักษาตัวอย่างไ

กระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? รู้จักอาการ สาเหตุ และการป้องกัน

โรคกระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? ชวนคุณมาทำความรู้จักกับอาการ สาเหตุ และการรักษา เพื่อป้องกันสุขภาพตัวเองไม่ให้กระดูกคอได้รับบาดเจ็บ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital