บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคต้อกระจก…อาการ การรักษา และการป้องกัน

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

เรามักเคยได้ยินว่า ผู้สูงอายุมักมีอาการตาฝ้าฟางหรือตาพล่ามัว ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ใช่อาการปกติทั่วไป เเต่เป็นความเสื่อมของเลนส์กระจกตาตามอายุที่มากขึ้นเเละเป็นหนึ่งในอาการสำคัญของ “ต้อกระจก”


ต้อกระจกพบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยมักเป็นต้อกระจกระยะเริ่มต้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เลนส์จึงขุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ จนเริ่มบดบังการมองเห็นในที่สุด


ต้อกระจกคืออะไร?


ต้อกระจก (cataract) เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมตามวัยหรือตามอายุที่มากขึ้น เกิดจากความเสื่อมของเลนส์ตาทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวจนทำให้จอประสาทตารับเเสงได้ลดลง


เนื่องจากการขุ่นของเลนส์ตาจะเป็นไปอย่างช้า ๆ นานเป็นปี ทำให้ตาค่อย ๆ มัวลงอย่างช้า ๆ โดยไม่มีอาการตาแดงหรือเจ็บปวด การมองเห็นจะลดลงเมื่ออยู่ในที่มีแสงไม่เพียงพอ เหมือนมองผ่านหมอกหรือกระจกที่ขุ่น ต้อกระจกบางชนิดจะทำให้ตามัวลงเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือเมื่อขับรถกลางคืนแล้วเห็นไฟหน้ารถที่ขับสวนมาแตกกระจาย ผู้ป่วยบางรายเห็นภาพซ้อนเมื่อดูด้วยตาข้างเดียว หากทิ้งไว้นานจนต้อสุก จะเห็นตาเป็นฝ้าขาวตรงกลางได้ ซึ่งในปัจจุบันพบได้น้อยลงเนื่องจากผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจตาได้ง่ายขึ้น

ต้อกระจกมีอาการอย่างไร?


อาการของต้อกระจกที่พบบ่อย ได้แก่


  • เห็นไม่ชัด หรือมัวเหมือนมองภาพผ่านกระจกฝ้าหรือผ่านหมอก
  • มีอาการตาพล่ามัวหรือมองภาพได้ไม่ชัดในที่มีเเสงแดดมากหรือที่กลางเเจ้ง
  • เห็นภาพซ้อนเมื่อมองด้วยตาข้างเดียว
  • เมื่อขับรถกลางคืน จะเห็นไฟหน้ารถที่ขับสวนมาแตกกระจายผิดปกติ
  • สายตาสั้นมากขึ้นผิดปกติ เเละเปลี่ยนเเว่นสายตาบ่อย ๆ
  • ตาไวต่อเเสงเเละเเสงจ้า หรือตาสู้เเสงสว่างมาก ๆ ไม่ได้
  • มองเห็นสีผิดเพี้ยนไป
  • มีฝ้าขาวบริเวณตรงกลางตา

ต้อกระจกอันตรายไหม?


ต้อกระจกในระยะเเรกอาจไม่มีอันตราย เเต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ จนต้อกระจกเเข็งเเละมีอาการรุนเเรงอาจเกิดภาวะเเทรกซ้อนได้ เช่น โรคต้อหิน หรือเกิดการอักเสบภายในตาทำให้เกิดอาการปวดตา ตาเเดง


การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยในการคัดกรองต้อกระจกเเละโรคต่าง ๆ ของดวงตา ทำให้ได้รับการรักษาเเละการดูเเลอย่างถูกต้อง


สาเหตุของต้อกระจก


ตากระจกมีสาเหตุหลักจากความเสื่อมตามวัย หรืออายุที่มากขึ้น โดยมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เเต่ก็สามารถพบในคนอายุน้อยได้เช่นกัน โดยมีสาเหตุดังนี้


  1. ผลจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ๆ ทั้งแบบรับประทานและแบบหยอดตา
  2. มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก ได้แก่ โรคเบาหวาน เเละโรคความดันสูง
  3. ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
  4. เคยได้รับอุบัติเหตุ หรือบาดเจ็บบริเวณดวงตา
  5. มีการอักเสบ หรือติดเชื้อบริเวณดวงตา
  6. พันธุกรรม หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจก
  7. การทำงานกลางเเจ้ง หรือได้รับแสงแดดเเรง ๆ เป็นเวลานาน ๆ
  8. ภาวะเเทรกซ้อนจากโรคทางตา
  9. การสูบบุหรี่ เเละการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  10. เคยโดนฉายรังสีบริเวณศีรษะหรือดวงตา

ต้อกระจกรักษาอย่างไร?


ต้อกระจกเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษา เเละไม่มียาช่วยลดอาการเเละความรุนเเรงของโรค การรักษามีเพียงวิธีเดียวคือการผ่าตัด ซึ่งเป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูงเเละมีโอกาสมองเห็นได้ดีขึ้นภายหลังการผ่าตัดมากถึง 95% ก่อนการผ่าตัดต้อกระจกทุกครั้งจักษุเเพทย์จะตรวจประเมินสายตาเเละสภาพดวงตาอย่างละเอียดเพื่อพิจารณความเหมาะสมในการรักษาเเละเลือกชนิดเลนส์เเก้วตาเทียมให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย


วิธีการรักษาต้อกระจก


เเบ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดเป็น 3 วิธี ได้แก่


  1. การผ่าตัดแผลเล็กร่วมกับการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (phacoemulsification) ในปัจจุบันถือว่าเป็นวิธีมาตฐานในการรักษาต้อกระจก แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กประมาณ 2.2-3 มิลลิเมตร โดยการผ่าตัดด้วยวิธีนี้จักษุเเพทย์ จะใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ความถี่สูงสลายต้อกระจกจนหมด เเล้วจึงใส่เลนส์เเก้วตาเทียมเข้าไปเเทนที่ ข้อดีของการรักษาวิธีนี้คือแผลมีขนาดเล็กมากเเละไม่ต้องเย็บปิดเเผล ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย กลับมามองเห็นได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ ไม่ต้องฉีดยาชาเเละวางยาสลบ เพราะใช้เพียงการหยอดยาชาเฉพาะที่
  2. การผ่าตัดเพื่อนำเลนส์แก้วตาออกเเบบเหลือถุงหุ้มเลนส์ไว้หรือการผ่าตัดแบบแผลเปิดกว้าง (extracapsular cataract extraction; ECCE) เป็นการผ่าตัดโดยการเปิดแผลผ่าตัดบริเวณขอบตาดำขนาดยาวประมาณ 10 มิลลิเมตร เพื่อนำเลนส์ตาเก่าที่มีภาวะต้อกระจกออก จากนั้นใส่เลนส์เเก้วตาเทียมเข้าไปเเทน เเล้วจึงทำการเย็บปิดแผล วิธีการนี้จะใช้ในกรณีที่มีภาวะต้อกระจกระดับรุนเเรงจนต้อกระจกเเข็งเเละขุ่นมาก ๆ ไม่สามารถสลายได้ด้วยเครื่องสลายต้อ
  3. การผ่าตัดต้อกระจกด้วยเลเซอร์ (femtosecond laser surgery) เป็นการผ่าตัดโดยการนำเลเซอร์มาช่วยในการผ่าตัดต้อกระจกในบางขั้นตอนที่สำคัญเท่านั้น โดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานของเลเซอร์ควบคู่กับการใช้เครื่องสแกนจอตา (optical coherence tomography; OCT) ทำให้มีความเเม่นยำสูงเเละมีความปลอดภัยสูงขึ้นกว่าวิธีการผ่าตัดปกติ โดยวิธีการนี้จะใช้เลเซอร์ผ่าตัดเปิดแผลเเละถุงหุ้มเลนส์ตา จากนั้นจะตัดเลนส์ตาเก่าที่มีต้อกระจกออก เเล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน

ชนิดของเลนส์แก้วตาเทียม


การรักษาต้อกระจกด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์เเก้วตาเทียม สามารถเลือกเลนส์เเก้วตาเทียม (intraocular lens; IOL) ให้มีความเหมาะสมกับเเต่ละบุคคล โดยเลนส์แก้วตาเทียมมี 3 ชนิด ได้แก่


  1. เลนส์เเก้วตาเทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (standard IOL) เป็นเลนส์แก้วตาเทียมมาตรฐานที่ช่วยในการมองภาพระยะไกลได้ดี มีกำลังการรวมแสงเดียว ช่วยโฟกัสภาพในระยะไกล ส่วนการมองใกล้อาจต้องอาศัยแว่นอ่านหนังสือช่วย
  2. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดหลายระยะ (multifocal IOL) เป็นเลนส์เเก้วตาเทียมที่มีการมองเห็นในหลายระดับทั้งมองในระยะใกล้เเละไกล เป็นเลนส์แก้วตาที่มีหลายวง แต่ละวงมีกำลังการรวมแสงที่แตกต่างกันเพื่อโฟกัสทั้งระยะไกลและใกล้ แต่ผู้รับการรักษาต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควร เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องการมองไกลและใกล้โดยไม่สวมแว่นอ่านหนังสือ
  3. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดสายตาเอียง (toric IOL) เป็นเลนส์แก้วตาเทียมที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเรื่องสายตาเอียง สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงร่วมกับภาวะต้อกระจกก่อนการผ่าตัด

ต้อกระจกผ่าตัดเมื่อไหร่ดี?


ต้อกระจกในระยะเเรกยังไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด หากไม่รบกวนการมองเห็นเเละการใช้ชีวิตประจำวัน โดยในระยะเเรก หากมีปัญหาการมองเห็นภาพไม่ชัดเจน อาจเเก้ปัญหาด้วยการใส่เเว่นสายตาช่วยเรื่องการมองเห็นเเละตัดเเสงรบกวน เเต่ควรติดตามอาการกับจักษุเเพทย์อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานจนต้อกระจกเเข็งเเละมีอาการรุนเเรงจะทำให้การผ่าตัดยากขึ้น หรือเกิดเป็นต้อหินได้ ซึ่งหากมีต้อหินรุนแรงและปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น


การป้องกันต้อกระจก


ต้อกระจกสามารถป้องกันได้โดยการปฏิบัติตัวดังนี้


  • ผู้ที่มีอายุตั้งเเต่ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเเละสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
  • ควรสวมเเว่นกันแดดเวลาทำกิจกรรมกลางเเจ้งหรือที่มีแดดเเรง
  • รักษาเเละรับประทานยารักษาโรคประจำตัวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะโรคเบาหวานเเละโรคความดันสูง
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาเเละหยอดยากลุ่มสเตียรอยด์จนเกินความจำเป็นหรือยังไม่ได้รับคำเเนะนำจากเเพทย์ให้ใช้ยาในกลุ่มดังกล่าว
  • งดสูบบุหรี่ เเละงดการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเเละพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพิ่มการรับประทานผักเเละผลไม้ เนื่องจากมีวิตามินเเละเเร่ธาตุเเละช่วยในการบำรุงสายตา

สรุป


“ต้อกระจก” เป็นภาวะที่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ โดยพบในผู้สูงอายุตั้ง 60 ปีขึ้นไป เเต่ก็สามารถพบในผู้มีอายุน้อยได้เช่นกัน ในระยะเเรกจะมีอาการไม่รุนเเรง มีตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน เเต่หากปล่อยทิ้งไว้นานจนรุนเเรงจะทำให้เกิดโรคต้อหินที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ การรักษามาตรฐานในปัจจุบันคือการผ่าตัด


การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีจึงช่วยคัดกรองต้อกระจกเเละโรคทางตาอื่น ๆ และหากพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกของโรคก็จะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและทำให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

ศูนย์จักษุ

บทความที่เกี่ยวข้อง (7)

ดูทั้งหมด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) รู้เร็ว รักษาได้ ลดเสี่ยงตาบอด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น และทำให้เกิดโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาลอก การติดเชื้อในดวงตา การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และการตรวจสุขภาพตาช่วยลดความเสี่ยงการสูญเสียการมองเห็นได้

ภาวะตาแห้งรู้ก่อนป้องกันได้

ภาวะตาแห้งสามารถพบได้ทั่วไปทุกเพศทุกวัย เกิดจากปริมาณน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาและกระจกตาไม่เพียงพอ โดยทั่วไปภาวะตาแห้งไม่รุนแรง แต่ในบางรายหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจเกิดแผลที่กระจกตา อาจกระจกตาทะลุถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้นเราควรดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตาแห้งรุนแรง

ICL เลนส์เสริม ทางเลือกของการแก้ไขสายตา

ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหาสายตามีหลากหลายวิธี เช่น การใช้แว่นตา, คอนแทคเลนส์ หรือการท าเลสิค (LASIK) แต่สำหรับบางคนที่มีข้อจำกัดไม่สามารถทำเลสิคได้เช่น ผู้ที่มีสายตาสั้น, สายตาเอียงมากเกินไป หรือผู้ที่มีความหนาของกระจกตาไม่เพียงพอ ICL (Intraocular Collamer Lens) เป็นทางเลือกที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้

Computer Vision Syndrome

เป็นกลุ่มอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาการจะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ อาการของ Computer Vision Syndrome ได้แก่ อาการเมื่อยล้าปวดตาเคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ระยะห่างระหว่างตาและคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม ท่านั่งไม่เหมาะสม ค่าสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นหรือยาวที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือมาจากหลายๆสาเหตุร่วมกัน

รู้จักกับโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) โรคหายากที่ทำให้ตาบอดชั่วคราว

โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลายระบบตั้งแต่ ดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท เป็นโรคที่พบได้น้อย สาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยง เช่น คนเอเชีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และชาวพื้นเมืองอเมริกัน โรคนี้มีอาการหลากหลาย เช่น ตาอักเสบ หูอื้อ ผิวหนังเป็นรอยด่างขาว และอาการทางสมอง

ต้อหิน รู้เร็ว รักษาก่อน

โรคต้อหิน คือโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วยโรคนี้ เนื่องจากส่วนมากไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร และหากเป็นแล้ว แม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆได้ สำหรับกลไกการเกิดต้อหิน เกิดจาดความผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ซึ่งปกติจะถูกสร้างและมีทางระบายออก ในโรคต้อหินชนิดความดันตาสูง มีความผิดปกติของการระบายน้ำออก ทำให้ความดันตาสูงขึ้น (ปกติ คาความดันตาไม่ควรเกิน 21 มม.ปรอท) และไปกดทับเส้นประสาทตา ส่วนในโรคต้อหินชนิดความดันตาไม่สูง เชื่อว่า เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้าๆจากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ มักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน ไมเกรน

เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องผ่าตัดต้อกระจก

ต้อกระจก คือ ภาวะเลนส์ตาขุ่น ทำให้การมองเห็นภาพมัวลง สามารถรักษาได้โดยผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน การผ่าตัดต้อกระจก สามารถทำได้ 2 วิธี

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital