บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคกระจกตาโก่ง หรือกระจกตาย้วย (Keratoconus) รู้ทันสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา

พญ. อรทัย สุวจนกรณ์

กระจกตา (Cornea) เป็นโครงสร้างบางใสที่อยู่ด้านหน้าสุดของลูกตาทำหน้าที่หักเหแสงเข้าสู่ตาและช่วยในการโฟกัสภาพ หากกระจกตาเกิดความผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้


โรคกระจกตาโก่ง หรือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) คือ ภาวะที่เกิดความผิดปกติของโครงสร้างกระจกตาทำให้กระจกตาอ่อนแอ บางตัวลงและโก่งนูนออกคล้ายรูปกรวย ส่งผลให้แสงที่ผ่านเข้าดวงตาเกิดการหักเหผิดปกติทำให้การมองเห็นลดลง โรคนี้มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่น และสามารถมีการดำเนินโรคมากขึ้น ได้จนถึงอายุประมาณ 30-40 ปี


โรคกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย-Keratoconus-Infographic-1.webp

สาเหตุ


ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่


  • กรรมพันธุ์: ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระจกตาโก่ง จะมีความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป
  • พฤติกรรมการขยี้ตาแรง ๆ หรือบ่อย ๆ: เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้กระจกตาอ่อนแอและโก่งขึ้นได้
  • โรคบางอย่าง: เช่น ภูมิแพ้ขึ้นตา, ดาวน์ซินโดรม, โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ (Marfan syndrome หรือ Ehlers-Danlos syndrome) เป็นต้น

อาการ


โรคกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย-Keratoconus-Infographic-2.webp

โรคกระจกตาโก่ง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่น หรือบางรายอาจมีตั้งแต่วัยเด็กและค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ ใช้เวลาหลายปี โดยมักเป็นที่ตาทั้งสองข้าง แต่ความรุนแรงอาจไม่เท่ากันได้


อาการที่พบ ได้แก่


  • ตามัว จากสายตาสั้น, สายตาเอียงมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • สายตาเปลี่ยนเร็ว ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย หรือเปลี่ยนแว่นแล้วก็ยังมองเห็นไม่ชัด
  • อาจมีอาการสู้แสงไม่ได้
  • หากเป็นมากขึ้น กระจกตาอาจบางลงจนเกิดรอยปริแตกของชั้นกระจกตา (Corneal hydrops) ทำให้กระจกตาบวมน้ำและการมองเห็นลดลงกว่าเดิมอย่างฉับพลันได้ เมื่อกระจกตายุบบวมจะเกิดรอยแผลเป็นที่กระจกตา

การวินิจฉัย


ต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะทางในการตรวจวินิจฉัยโดยจักษุแพทย์ ซึ่งรวมถึง


  • การตรวจวัดค่าสายตา (Refraction)
  • การตรวจด้วยกล้องสำหรับตรวจตา (Slit lamp examination)
  • การตรวจความโค้งของกระจกตาด้วยเครื่อง Corneal Topography หรือ Pentacam
  • การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry)

แนวทางการรักษา


การรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยมีแนวทางดังนี้


1. การใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์


  • ในระยะเริ่มต้น อาการยังไม่รุนแรง อาจแก้ไขให้มองเห็นดีขึ้นได้ด้วยการใช้แว่นตา
  • หากโรคมีความผิดปกติมากขึ้น อาจต้องใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง (Rigid Gas Permeable: RGP) หรือ คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งขนาดใหญ่ครอบคลุมกระจกตา (Scleral Lens) เพื่อทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น

2. การใส่วงแหวนในกระจกตา (Intracorneal Ring Segment – ICRS)


  • ช่วยปรับรูปร่างกระจกตาที่โก่งย้วยให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. การรักษาด้วย Corneal Collagen Cross-Linking (CXL)


  • เป็นวิธีที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กระจกตา โดยการใช้วิตามินบี 2 (Riboflavin) ร่วมกับแสง UVA เพื่อชะลอหรือหยุดการโก่งตัวของกระจกตา

4. การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา (Corneal Transplantation)


  • ใช้ในผู้ป่วยที่มีความผิดรูปของกระจกตามาก, มีแผลเป็น หรือกระจกตาบางเกินไป
  • อาจผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาบางส่วนหรือเปลี่ยนทั้งชิ้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

คำแนะนำการปฏิบัติตัว


  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำให้โรคลุกลาม
  • รักษาโรคภูมิแพ้ขึ้นตา เพื่อลดการระคายเคืองและอาการคันตา
  • ไม่สามารถทำเลสิกได้เพราะอาจทำให้กระจกตาอ่อนแอลง
  • ควรตรวจติดตามค่าสายตาและรูปร่างกระจกตาอย่างสม่ำเสมอ ตามคำแนะนำของจักษุแพทย์

สรุป


กระจกตาโก่ง หรือกระจกตาย้วย (Keratoconus) หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาวได้ การรู้จักสัญญาณเตือนและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน และรักษาคุณภาพการมองเห็นไว้ให้ได้นานที่สุด


หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการสายตาสั้น สายตาเอียงมากขึ้น มองเห็นไม่ชัด หรือเปลี่ยนแว่นบ่อย ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

บทความที่เกี่ยวข้อง (8)

ดูทั้งหมด

ต้อหิน รู้เร็ว รักษาก่อน

โรคต้อหิน คือโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วยโรคนี้ เนื่องจากส่วนมากไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร และหากเป็นแล้ว แม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆได้ สำหรับกลไกการเกิดต้อหิน เกิดจาดความผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ซึ่งปกติจะถูกสร้างและมีทางระบายออก ในโรคต้อหินชนิดความดันตาสูง มีความผิดปกติของการระบายน้ำออก ทำให้ความดันตาสูงขึ้น (ปกติ คาความดันตาไม่ควรเกิน 21 มม.ปรอท) และไปกดทับเส้นประสาทตา ส่วนในโรคต้อหินชนิดความดันตาไม่สูง เชื่อว่า เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้าๆจากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ มักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน ไมเกรน

อ่านเพิ่มเติม

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital