บทความสุขภาพ

Knowledge

Computer Vision Syndrome


เป็นกลุ่มอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาการจะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ อาการของ Computer Vision Syndrome ได้แก่ อาการเมื่อยล้าปวดตาเคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ระยะห่างระหว่างตาและคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม ท่านั่งไม่เหมาะสม ค่าสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นหรือยาวที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือมาจากหลายๆสาเหตุร่วมกัน


ลักษณะของแว่นตาที่เหมาะกับการใช้คอมพิวเตอร์

แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ ควรมีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุต ซึ่งเราเรียกว่า Intermediate viewing distance ในขณะที่แว่นอ่านหนังสือ จะมีระยะที่เห็นชัดอยู่ที่ระยะ 16-18 นิ้วฟุตจากตา


ผู้ใช้คอมพิวเตอร์บางท่านอาจจะไม่ต้องใช้แว่นในชีวิตประจำวันอย่างอื่น แต่บางครั้งการใช้แว่นในการทำงานกับคอมพิวเตอร์ ทำให้มองเห็นชัดและทำงานสบายตาขึ้น และบางครั้งแว่นที่ใช้อยู่ประจำ

อาจไม่ได้เป็นแว่นที่เหมาะสมที่สุดในการทำงานกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำในเรื่องนี้ได้


  • Ultraviolet coating ถ้าในห้องทำงานมีแสงฟลูออเรสเซนส์ ซึ่งให้แสงสีฟ้าจำนวนมาก ซึ่งมีความกระจัดกระจายสูง การใช้ ultraviolet coating จะตัดแสงสีฟ้าที่เข้าตา
  • Lens tint จะลดความสว่างและสีบางสีที่เข้าสู่ตา การย้อมสีนี้ทำให้สบายตาขึ้น
  • Anti-Reflective coating บนเลนส์จะลดจำนวนแสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์ที่จะเข้าสู่ตา
  • ในรายที่มีกล้ามเนื้อตาผิดปกติ การใส่ปริซึมในแว่นตาจะทำให้ใช้ตาสบายขึ้น

จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม

1. Resolution หมายถึงความหนาแน่นของพิกเซล ถ้ามีความหนาแน่นของพิกเซลสูง จะมีความละเอียดมากกว่า โดยทั่วไปความหนาแน่นของพิกเซลสูงจะดีกว่า แต่ต้องดูที่ refresh rate ด้วย เพราะถ้ามี resolution สูง แต่ refresh rate ไม่สูงพอ ภาพก็อาจจะไม่ดีได้ ข้อดีของ resolution คือ จะทำให้ทำงานได้สบายตากว่า แต่ข้อเสียคือ ภาพและข้อความจะมีขนาดเล็กลง

2. Refresh Rate หมายถึงอัตราการกระพริบของจอภาพ จอที่มีค่า refresh rate ต่ำทำให้ตาต้องทำงานมาก เพราะภาพที่ได้จะมีการสั่นและกระพริบ ความถี่ที่เหมาะสมคือ 70 Hz (hertz) หรือมากกว่า

3. Dot pitch คือระยะห่างระหว่างรูของช่องโลหะ มีผลต่อความคมชัด จอคอมพิวเตอร์ปกติมีค่า 0.25 – 0.28 มม. ค่าต่ำแสดงว่ามีความคมชัดมาก ฉะนั้นค่าที่ดีคือ 0.28 มม. หรือต่ำกว่า

4. จอแบน มีการบิดเบือนของภาพน้อยกว่าจอโค้ง นอกจากนี้ยังสามารถลดแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ดีกว่า 5. ควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างเท่ากับสภาวะแวดล้อม ส่วน contrast ควรปรับให้สูงเพื่อให้โฟกัสง่ายขึ้น แสงสะท้อนจากคอมพิวเตอร์ทำให้ contrast ลดลงได้ทำให้การมองเห็นไม่สบายตา แนะนำให้ใช้อักษรดำบนพื้นขาวซึ่งจะให้ contrast ที่ดีกว่า ขนาดตัวอักษรควรเป็น 3 เท่าของตัวอักษรเล็กสุดเท่าที่เราเห็นได้ เราสามารถทดสอบโดยเดินห่างออกไป 3 เท่าของระยะทางที่เราใช้งานอยู่ ถ้ายังคงเห้นตัวอักษรบนจอได้อยู่แสดงว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้ว


สำหรับจอ LCD ข้อดีคือ ประหยัดไฟฟ้า ประหยัดพื้นที่ทำงาน ให้การแสดงผลที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องของสนามแม่เหล็กและการแผ่รังสี


สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

การปรับสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ให้เหมาะสมกับการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์จะช่วยให้ทำงานได้สะดวกสบายขึ้น และลดภาวะ Computer Vision Syndrome ได้ อันได้แก่


  • ตำแหน่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ การมองจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม ควรจะมองลงล่าง 15-20 องศา จออยู่ห่างจากตา 20-28 นิ้ว
  • เอกสารหรือหนังสือที่ใช้ร่วมกับการทำงานกับคอมพิวเตอร์ เอกสารควรอยู่ใต้คอมพิวเตอร์และอยู่เหนือคีย์บอร์ด และไม่ควรอยู่ห่างจากจอคอทพิวเตอร์มากนัก เพื่อเวลาทำงาน ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จะได้ไม่ต้องหันหน้าไปมาระหว่างจอคอมพิวเตอร์และเอกสาร
  • แสงไฟ จัดตำแหน่งหน้าจอเพื่อหลักเลี่ยงแสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะจากไฟในห้องหรือนหน้าต่าง สามารถใช้ผ้าม่านช่วยลดแสงสะท้อนได้
  • แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ฟิล์มลดแสงสะท้อนที่จอคอมพิวเตอร์จะช่วยให้ทำงานได้สบายตามากขึ้น
  • ท่านั่งที่เหมาะสม เก้าอี้ควรนั่งสบายและนุ่ม ความสูงของเก้าอี้ควรสูงพอดีที่เท้าสามารถวางราบกับพื้นได้ เก้าอี้ควรมีที่วางแขนเพื่อพยุงไว้ขณะพิมพ์ ไม่ควรวางข้อมือบนคีย์บอร์ดเพราะจะทำให้เมื่อยง่าย
  • การพักสายตา ควรพักสายตา 15 นาที เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันสองชั่วโมง และเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ครบ 20 นาที ควรมองไกลเพื่อพักสายตา และช่วยปรับโฟกัสเป็นเวลา 20 นาที
  • กะพริบตา เพื่อลดภาวะตาแห้ง ควรกะพริบตาบ่อยๆ เพื่อช่วยให้มีน้ำตาหล่อลื่น

การตรวจตากับจักษุแพทย์สม่ำเสมอและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมจะช่วยลดภาวะ Computer Vision Syndrome ได้



เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (3)

ดูทั้งหมด

ตรวจสุขภาพตาพื้นฐาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป)

ตรวจสุขภาพตาพื้นฐาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป)

ตรวจสุขภาพตาพื้นฐาน (อายุ 15 ปีขึ้นไป)

฿ 1,200

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

฿ 4,900

โปรแกรมการรักษาตาแห้งด้วย IPL

โปรแกรมการรักษาตาแห้งด้วย IPL

โปรแกรมการรักษาตาแห้งด้วย IPL

฿ 4,900 - 13,500

บทความที่เกี่ยวข้อง (7)

ดูทั้งหมด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) รู้เร็ว รักษาได้ ลดเสี่ยงตาบอด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น และทำให้เกิดโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาลอก การติดเชื้อในดวงตา การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และการตรวจสุขภาพตาช่วยลดความเสี่ยงการสูญเสียการมองเห็นได้

ภาวะตาแห้งรู้ก่อนป้องกันได้

ภาวะตาแห้งสามารถพบได้ทั่วไปทุกเพศทุกวัย เกิดจากปริมาณน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาและกระจกตาไม่เพียงพอ โดยทั่วไปภาวะตาแห้งไม่รุนแรง แต่ในบางรายหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจเกิดแผลที่กระจกตา อาจกระจกตาทะลุถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้นเราควรดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตาแห้งรุนแรง

ICL เลนส์เสริม ทางเลือกของการแก้ไขสายตา

ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหาสายตามีหลากหลายวิธี เช่น การใช้แว่นตา, คอนแทคเลนส์ หรือการท าเลสิค (LASIK) แต่สำหรับบางคนที่มีข้อจำกัดไม่สามารถทำเลสิคได้เช่น ผู้ที่มีสายตาสั้น, สายตาเอียงมากเกินไป หรือผู้ที่มีความหนาของกระจกตาไม่เพียงพอ ICL (Intraocular Collamer Lens) เป็นทางเลือกที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้

รู้จักกับโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) โรคหายากที่ทำให้ตาบอดชั่วคราว

โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลายระบบตั้งแต่ ดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท เป็นโรคที่พบได้น้อย สาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยง เช่น คนเอเชีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และชาวพื้นเมืองอเมริกัน โรคนี้มีอาการหลากหลาย เช่น ตาอักเสบ หูอื้อ ผิวหนังเป็นรอยด่างขาว และอาการทางสมอง

ต้อหิน รู้เร็ว รักษาก่อน

โรคต้อหิน คือโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วยโรคนี้ เนื่องจากส่วนมากไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร และหากเป็นแล้ว แม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆได้ สำหรับกลไกการเกิดต้อหิน เกิดจาดความผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ซึ่งปกติจะถูกสร้างและมีทางระบายออก ในโรคต้อหินชนิดความดันตาสูง มีความผิดปกติของการระบายน้ำออก ทำให้ความดันตาสูงขึ้น (ปกติ คาความดันตาไม่ควรเกิน 21 มม.ปรอท) และไปกดทับเส้นประสาทตา ส่วนในโรคต้อหินชนิดความดันตาไม่สูง เชื่อว่า เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้าๆจากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ มักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน ไมเกรน

โรคต้อกระจก…อาการ การรักษา และการป้องกัน

“ต้อกระจก” เกิดจากความเสื่อมตามอายุ โดยพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระยะเเรกอาการจะไม่รุนเเรง มีตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน เเต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดโรคต้อหินที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น ต้อกระจกรักษาได้ด้วยการผ่าตัด

เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องผ่าตัดต้อกระจก

ต้อกระจก คือ ภาวะเลนส์ตาขุ่น ทำให้การมองเห็นภาพมัวลง สามารถรักษาได้โดยผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน การผ่าตัดต้อกระจก สามารถทำได้ 2 วิธี

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital