บทความสุขภาพ

Knowledge

รู้จักกับโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) โรคหายากที่ทำให้ตาบอดชั่วคราว

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคภูมิคุ้มกันที่อาจไม่คุ้นเคยนักในสังคมทั่วไป แต่เป็นโรคที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เนื่องจากโรคนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท การรับรู้ถึง VKH จึงมีความสำคัญ เพราะหากไม่ตรวจพบหรือรักษาแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นถาวรและมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หูอื้อ ต้อกระจก หรือต้อหินได้


ด้วยอาการที่หลากหลายตั้งแต่ตาอักเสบ ผื่นด่างขาว ไปจนถึงอาการปวดศีรษะและคอแข็ง VKH จึงเป็นโรคที่ควรได้รับการใส่ใจและติดตามอย่างใกล้ชิด การตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้จะช่วยให้ประชาชนสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น และยังเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วย


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) คืออะไร?


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งเข้าโจมตีเซลล์เม็ดสีในร่างกายของตัวเอง (autoimmune response) โดยโรคนี้มีผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ได้แก่ ดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท มักพบในผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชีย ตะวันออกกลาง ฮิสแปนิก และชนพื้นเมืองอเมริกัน


VKH เป็นโรคที่อันตรายโรคหนึ่ง เพราะส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย โดยเฉพาะระบบดวงตา ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) พบบ่อยแค่ไหน?


จากสถิติ โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) พบไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับโรคอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ โดยพบประมาณ 3-4% ของผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใหญ่ในสหรัฐอเมริกา


อย่างไรก็ตามโรคนี้พบมากในคนบางภูมิภาค เช่น เอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีเชื้อสายเอเชีย ฮิสแปนิก ชาวตะวันออกกลาง และชนพื้นเมืองอเมริกัน ในขณะที่คนเชื้อสายผิวขาวและคนผิวดำในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารามีความเสี่ยงต่ำกว่า


โรคนี้มักพบในกลุ่มอายุ 20-50 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ในกลุ่มประชากรชาวญี่ปุ่นกลับพบในผู้ชายได้บ่อยกว่า โรคนี้พบได้ในผู้ใหญ่บ่อยกว่าในเด็ก แต่ก็มีรายงานพบในเด็กที่อายุน้อยสุดคือ 3 ปี และในผู้สูงอายุที่อายุมากคือ 89 ปี


และเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่พบน้อย บางครั้งอาจทำให้ยากต่อการวินิจฉัย ทำให้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางในการวินิจฉัย อาจส่งผลให้การวินิจฉัยล่าช้า ซึ่งมีผลต่อการรักษา


อาการของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


อาการของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) มีความหลากหลายและสามารถเกิดขึ้นได้กับหลายระบบของร่างกาย โดยหลัก ๆ อาการจะแบ่งออกเป็น 4 ระบบหลัก ได้แก่ ดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท ดังนี้


1. อาการทางดวงตา


  • มีการอักเสบของดวงตาทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นอาการเด่นของโรคนี้
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะบริเวณจุดรับภาพชัด (macula)
  • บางรายอาจเกิดอาการเห็นภาพซ้อน หรือมีจุดมืดในภาพที่มองเห็น
  • อาการอาจเป็นอยู่ชั่วคราว แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

2. อาการทางหู


  • สูญเสียการได้ยิน
  • ได้ยินเสียงวี๊ดหรือเสียงหวีดในหู (tinnitus)
  • เวียนศีรษะหรือรู้สึกเสียการทรงตัว

3. อาการทางผิวหนัง


  • ผื่นด่างขาว (vitiligo) อาจเกิดบนผิวหนัง โดยมักพบหลังจากดวงตาอักเสบ 2-3 เดือน
  • ผมร่วง รวมถึงขนคิ้วและขนตามร่างกาย
  • เปลี่ยนสีผิวเป็นสีขาวหรือสีเทาในบางบริเวณ

4. อาการทางระบบประสาทและสมอง


  • ปวดศีรษะ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย
  • คอแข็ง หรือรู้สึกตึงบริเวณคอ
  • มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน

สาเหตุของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


สาเหตุของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าโรคนี้อาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และเข้าโจมตีเซลล์เม็ดสีเมลานินในร่างกาย (autoimmune response) โดยเฉพาะบริเวณดวงตา ผิวหนัง และระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค VKH ได้ เช่น


  1. พันธุกรรม: กลุ่มประชากรบางเชื้อชาติ เช่น ชาวเอเชีย ชาวตะวันออกกลาง ฮิสแปนิก และชนพื้นเมืองอเมริกัน อาจมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเกิดโรค VKH มากกว่าคนในกลุ่มเชื้อชาติอื่น
  2. การติดเชื้อไวรัส: มีการคาดการณ์ว่าไวรัสบางชนิดอาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป และโจมตีเซลล์เม็ดสีในร่างกาย แล้วทำให้เกิดการอักเสบในหลาย ๆ ระบบ
  3. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม: ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสกับสารเคมีหรือมลภาวะ อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายขึ้นได้

เนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจน แพทย์จึงมักจะใช้วิธีรักษาเพื่อควบคุมการอักเสบและบรรเทาอาการเป็นหลัก


การวินิจฉัยโรค Vogt-Koyanagi-Harada


การวินิจฉัยโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) ต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียดเพื่อแยกจากโรคอักเสบในดวงตาและระบบอื่น ๆ โดยแพทย์จะพิจารณาจากอาการของผู้ป่วย ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจภาพถ่ายดวงตา โดยการวินิจฉัยจะเน้นที่อาการอักเสบของดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท โดยแพทย์อาจพิจารณาการตรวจ ดังนี้


1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย


  • ซักถามอาการต่าง ๆ เช่น อาการอักเสบของดวงตาทั้งสองข้าง อาการหูอื้อ สูญเสียการได้ยิน อาการผื่นด่างขาว และอาการปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ
  • ตรวจดูบริเวณผิวหนังและเส้นผมว่ามีอาการผมร่วงหรือไม่ รวมถึงการตรวจบริเวณดวงตาเพื่อประเมินการมองเห็นและการอักเสบ

2. การตรวจตา


  • Ophthalmoscopy (การส่องตรวจตา): เพื่อตรวจดูจอประสาทตา จุดรับภาพชัด (macula) และเยื่อชั้นต่าง ๆ ในดวงตาว่ามีการอักเสบหรือไม่
  • Fluorescein Angiography: ตรวจการไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตา เพื่อหาภาวะหลอดเลือดรั่วหรือการอักเสบที่จอประสาทตา
  • Optical Coherence Tomography (OCT): ตรวจการเปลี่ยนแปลงของชั้นเยื่อจอประสาทตา โดยเฉพาะที่จุดรับภาพชัด (macula) เพื่อดูการอักเสบหรือการบวมน้ำในดวงตา

3. การตรวจทางหูและระบบประสาท


  • ตรวจการได้ยินและการทรงตัว เพื่อหาความผิดปกติในหูชั้นใน
  • ตรวจระบบประสาท เช่น ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ และตรวจหาอาการทางระบบประสาท เช่น การปวดศีรษะ อาการคอแข็ง หรือมีไข้ เพื่อประเมินความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับสมองและไขสันหลัง

4. การตรวจภาพสมอง (Brain Imaging)


  • การทำ MRI หรือ CT scan เพื่อดูการอักเสบในระบบประสาท โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสมองและเยื่อหุ้มสมอง

5. การตรวจเลือด


  • การตรวจเลือดบางอย่างอาจช่วยวินิจฉัยภาวะการอักเสบของร่างกาย รวมถึงการวิเคราะห์ค่าทางภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยระบุภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

6. การวินิจฉัยแยกโรค


  • แพทย์จะพิจารณาโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้าย VKH เช่น โรคซาร์คอยโดสิส (sarcoidosis) โรคลูปัส (lupus) หรือการติดเชื้อบางชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่จากสาเหตุอื่น

การวินิจฉัยโรค VKH ต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ได้แก่ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา แพทย์เฉพาะทางโรคภูมิคุ้มกัน และแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว


การรักษาโรค Vogt-Koyanagi-Harada


การรักษาโรค VKH จะเน้นการรักษาที่เป็นการควบคุมการอักเสบในหลายระบบของร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นและอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยมีการรักษาดังนี้


  • การใช้ยาสเตียรอยด์: สเตียรอยด์เป็นยาหลักในการลดการอักเสบ ทั้งแบบรับประทานและฉีด โดยจะเลือกตามความรุนแรงของอาการ เพื่อควบคุมการอักเสบในดวงตาและระบบอื่น ๆ ของร่างกาย
  • ยากดภูมิคุ้มกัน: แพทย์อาจพิจารณาใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Methotrexate หรือ Azathioprine เมื่อต้องควบคุมการอักเสบอย่างต่อเนื่อง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยต้องใช้สเตียรอยด์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยลดการทำลายเซลล์เม็ดสีจากภูมิคุ้มกัน
  • ยาในกลุ่มชีววัตถุ (Biological DMARDs): ในกรณีที่การรักษาด้วยสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกันไม่ได้ผลดี แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาในกลุ่มชีววัตถุ เช่น Infliximab หรือ Adalimumab เพื่อยับยั้งสารก่อการอักเสบในร่างกาย และช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ
  • การรักษาเฉพาะทางเพิ่มเติม: สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้อกระจก หรือต้อหิน แพทย์อาจใช้การผ่าตัดและยาหยอดตาเฉพาะทาง รวมถึงการใช้เครื่องช่วยฟังในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการได้ยิน
  • การติดตามอาการ: ควรพบแพทย์ตรวจดวงตาและระบบภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามการรักษา ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และจัดการกับอาการใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


โรค VKH อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดวงตาและระบบอื่น ๆ หากการอักเสบไม่ได้รับการควบคุม อาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่พบได้บ่อย ได้แก่


  1. สูญเสียการมองเห็นถาวร: การอักเสบในดวงตาอาจเกิดขึ้นบริเวณจุดรับภาพชัด (macula) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการมองเห็นได้ชัดเจน หากการอักเสบไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
  2. จอตาลอก: การอักเสบที่เกิดจากโรค VKH สามารถทำให้เกิดภาวะจอตาลอก (retinal detachment) ซึ่งมีผลต่อการมองเห็นและเป็นภาวะที่ต้องรักษาโดยเร็ว
  3. ต้อหิน (Glaucoma): การอักเสบเรื้อรังในดวงตาอาจเพิ่มแรงดันในลูกตา ทำให้เกิดต้อหิน ซึ่งจะทำให้การมองเห็นลดลงและอาจสูญเสียการมองเห็นถาวร
  4. ต้อกระจก (Cataract): การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวเพื่อควบคุมการอักเสบอาจทำให้เกิดต้อกระจกได้
  5. อาการหูอื้อและสูญเสียการได้ยิน: โรค VKH อาจทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวร รวมถึงอาจได้ยินเสียงวี๊ดในหูและเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบที่ของระบบหู
  6. อาการทางระบบประสาท: ภาวะอักเสบอาจทำให้เกิดปวดศีรษะ คอแข็ง คลื่นไส้ หรืออาการคล้ายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่ความผิดปกติของระบบประสาทอื่น ๆ ได้
  7. ผื่นด่างขาวและผมร่วง: ผู้ป่วย VKH อาจเกิดภาวะผิวด่างขาว (Vitiligo) หลังจากการอักเสบในดวงตา นอกจากนี้อาการผมร่วงหรือสีผิวเปลี่ยนเป็นซีดขาวก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน

การติดตามอาการและการรักษาต่อเนื่องโดยทีมแพทย์เฉพาะทางเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้


คำแนะนำในการดูแลตัวเองและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ


  • เข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาและอาการอื่น ๆ เป็นประจำ เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามอาการและปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรคที่อาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การติดเชื้อไวรัส
  • รักษาสุขภาพจิตและพักผ่อนอย่างเพียงพอ เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สรุป


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลายระบบ ส่งผลต่อดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท เป็นโรคที่พบได้น้อย ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และชาวพื้นเมืองอเมริกัน โรคนี้มีอาการหลากหลาย เช่น ตาอักเสบ หูอื้อ ผิวหนังเป็นรอยด่างขาว และอาการทางสมอง


การรักษา VKH จะเน้นที่การลดการอักเสบ มีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น การสูญเสียการมองเห็น ต้อกระจก และต้อหิน ทำให้การติดตามอาการและการรักษาต่อเนื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น






เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

ศูนย์จักษุ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คำแนะนำการป้องกันมาลาเรียสำหรับนักเดินทาง

โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัว Plasmodium นำโดยยุงก้นปล่อง มีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ สายพันธ์ุที่รุนแรงคือ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง อวัยวะต่างๆล้มเหลว ติดเชื้อขึ้นสมอง โคม่า ชัก และเสียชีวิตได้ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

EST คืออะไร? การตรวจสมรรถภาพหัวใจ Exercise Stress Test

EST (Exercise Stress Test) คือ การออกกำลังกายตรวจสมรรถภาพหัวใจ เป็นวิธีวินิจฉัยสุขภาพหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป EST มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออะไร รู้สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายดี

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออาการที่พบได้บ่อยในคนที่ใช้แรงเยอะ ๆ หรือเคยไหล่หลุดมาก่อน มาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุดได้บ้าง และจะต้องดูแลรักษาตัวอย่างไ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital