บทความสุขภาพ

Knowledge

รู้จักกับโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) โรคหายากที่ทำให้ตาบอดชั่วคราว

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคภูมิคุ้มกันที่อาจไม่คุ้นเคยนักในสังคมทั่วไป แต่เป็นโรคที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เนื่องจากโรคนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท การรับรู้ถึง VKH จึงมีความสำคัญ เพราะหากไม่ตรวจพบหรือรักษาแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นถาวรและมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หูอื้อ ต้อกระจก หรือต้อหินได้


ด้วยอาการที่หลากหลายตั้งแต่ตาอักเสบ ผื่นด่างขาว ไปจนถึงอาการปวดศีรษะและคอแข็ง VKH จึงเป็นโรคที่ควรได้รับการใส่ใจและติดตามอย่างใกล้ชิด การตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้จะช่วยให้ประชาชนสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น และยังเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วย


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) คืออะไร?


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งเข้าโจมตีเซลล์เม็ดสีในร่างกายของตัวเอง (autoimmune response) โดยโรคนี้มีผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ได้แก่ ดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท มักพบในผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชีย ตะวันออกกลาง ฮิสแปนิก และชนพื้นเมืองอเมริกัน


VKH เป็นโรคที่อันตรายโรคหนึ่ง เพราะส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย โดยเฉพาะระบบดวงตา ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) พบบ่อยแค่ไหน?


จากสถิติ โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) พบไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับโรคอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ โดยพบประมาณ 3-4% ของผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใหญ่ในสหรัฐอเมริกา


อย่างไรก็ตามโรคนี้พบมากในคนบางภูมิภาค เช่น เอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีเชื้อสายเอเชีย ฮิสแปนิก ชาวตะวันออกกลาง และชนพื้นเมืองอเมริกัน ในขณะที่คนเชื้อสายผิวขาวและคนผิวดำในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารามีความเสี่ยงต่ำกว่า


โรคนี้มักพบในกลุ่มอายุ 20-50 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ในกลุ่มประชากรชาวญี่ปุ่นกลับพบในผู้ชายได้บ่อยกว่า โรคนี้พบได้ในผู้ใหญ่บ่อยกว่าในเด็ก แต่ก็มีรายงานพบในเด็กที่อายุน้อยสุดคือ 3 ปี และในผู้สูงอายุที่อายุมากคือ 89 ปี


และเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่พบน้อย บางครั้งอาจทำให้ยากต่อการวินิจฉัย ทำให้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางในการวินิจฉัย อาจส่งผลให้การวินิจฉัยล่าช้า ซึ่งมีผลต่อการรักษา


อาการของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


อาการของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) มีความหลากหลายและสามารถเกิดขึ้นได้กับหลายระบบของร่างกาย โดยหลัก ๆ อาการจะแบ่งออกเป็น 4 ระบบหลัก ได้แก่ ดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท ดังนี้


1. อาการทางดวงตา


  • มีการอักเสบของดวงตาทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นอาการเด่นของโรคนี้
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะบริเวณจุดรับภาพชัด (macula)
  • บางรายอาจเกิดอาการเห็นภาพซ้อน หรือมีจุดมืดในภาพที่มองเห็น
  • อาการอาจเป็นอยู่ชั่วคราว แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้

2. อาการทางหู


  • สูญเสียการได้ยิน
  • ได้ยินเสียงวี๊ดหรือเสียงหวีดในหู (tinnitus)
  • เวียนศีรษะหรือรู้สึกเสียการทรงตัว

3. อาการทางผิวหนัง


  • ผื่นด่างขาว (vitiligo) อาจเกิดบนผิวหนัง โดยมักพบหลังจากดวงตาอักเสบ 2-3 เดือน
  • ผมร่วง รวมถึงขนคิ้วและขนตามร่างกาย
  • เปลี่ยนสีผิวเป็นสีขาวหรือสีเทาในบางบริเวณ

4. อาการทางระบบประสาทและสมอง


  • ปวดศีรษะ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย
  • คอแข็ง หรือรู้สึกตึงบริเวณคอ
  • มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน

สาเหตุของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


สาเหตุของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าโรคนี้อาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และเข้าโจมตีเซลล์เม็ดสีเมลานินในร่างกาย (autoimmune response) โดยเฉพาะบริเวณดวงตา ผิวหนัง และระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค VKH ได้ เช่น


  1. พันธุกรรม: กลุ่มประชากรบางเชื้อชาติ เช่น ชาวเอเชีย ชาวตะวันออกกลาง ฮิสแปนิก และชนพื้นเมืองอเมริกัน อาจมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเกิดโรค VKH มากกว่าคนในกลุ่มเชื้อชาติอื่น
  2. การติดเชื้อไวรัส: มีการคาดการณ์ว่าไวรัสบางชนิดอาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป และโจมตีเซลล์เม็ดสีในร่างกาย แล้วทำให้เกิดการอักเสบในหลาย ๆ ระบบ
  3. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม: ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสกับสารเคมีหรือมลภาวะ อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายขึ้นได้

เนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจน แพทย์จึงมักจะใช้วิธีรักษาเพื่อควบคุมการอักเสบและบรรเทาอาการเป็นหลัก


การวินิจฉัยโรค Vogt-Koyanagi-Harada


การวินิจฉัยโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) ต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียดเพื่อแยกจากโรคอักเสบในดวงตาและระบบอื่น ๆ โดยแพทย์จะพิจารณาจากอาการของผู้ป่วย ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจภาพถ่ายดวงตา โดยการวินิจฉัยจะเน้นที่อาการอักเสบของดวงตา หู ผิวหนัง และระบบประสาท โดยแพทย์อาจพิจารณาการตรวจ ดังนี้


1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย


  • ซักถามอาการต่าง ๆ เช่น อาการอักเสบของดวงตาทั้งสองข้าง อาการหูอื้อ สูญเสียการได้ยิน อาการผื่นด่างขาว และอาการปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ
  • ตรวจดูบริเวณผิวหนังและเส้นผมว่ามีอาการผมร่วงหรือไม่ รวมถึงการตรวจบริเวณดวงตาเพื่อประเมินการมองเห็นและการอักเสบ

2. การตรวจตา


  • Ophthalmoscopy (การส่องตรวจตา): เพื่อตรวจดูจอประสาทตา จุดรับภาพชัด (macula) และเยื่อชั้นต่าง ๆ ในดวงตาว่ามีการอักเสบหรือไม่
  • Fluorescein Angiography: ตรวจการไหลเวียนของเลือดในจอประสาทตา เพื่อหาภาวะหลอดเลือดรั่วหรือการอักเสบที่จอประสาทตา
  • Optical Coherence Tomography (OCT): ตรวจการเปลี่ยนแปลงของชั้นเยื่อจอประสาทตา โดยเฉพาะที่จุดรับภาพชัด (macula) เพื่อดูการอักเสบหรือการบวมน้ำในดวงตา

3. การตรวจทางหูและระบบประสาท


  • ตรวจการได้ยินและการทรงตัว เพื่อหาความผิดปกติในหูชั้นใน
  • ตรวจระบบประสาท เช่น ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ และตรวจหาอาการทางระบบประสาท เช่น การปวดศีรษะ อาการคอแข็ง หรือมีไข้ เพื่อประเมินความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับสมองและไขสันหลัง

4. การตรวจภาพสมอง (Brain Imaging)


  • การทำ MRI หรือ CT scan เพื่อดูการอักเสบในระบบประสาท โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสมองและเยื่อหุ้มสมอง

5. การตรวจเลือด


  • การตรวจเลือดบางอย่างอาจช่วยวินิจฉัยภาวะการอักเสบของร่างกาย รวมถึงการวิเคราะห์ค่าทางภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยระบุภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

6. การวินิจฉัยแยกโรค


  • แพทย์จะพิจารณาโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้าย VKH เช่น โรคซาร์คอยโดสิส (sarcoidosis) โรคลูปัส (lupus) หรือการติดเชื้อบางชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่จากสาเหตุอื่น

การวินิจฉัยโรค VKH ต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ได้แก่ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา แพทย์เฉพาะทางโรคภูมิคุ้มกัน และแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว


การรักษาโรค Vogt-Koyanagi-Harada


การรักษาโรค VKH จะเน้นการรักษาที่เป็นการควบคุมการอักเสบในหลายระบบของร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นและอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยมีการรักษาดังนี้


  • การใช้ยาสเตียรอยด์: สเตียรอยด์เป็นยาหลักในการลดการอักเสบ ทั้งแบบรับประทานและฉีด โดยจะเลือกตามความรุนแรงของอาการ เพื่อควบคุมการอักเสบในดวงตาและระบบอื่น ๆ ของร่างกาย
  • ยากดภูมิคุ้มกัน: แพทย์อาจพิจารณาใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Methotrexate หรือ Azathioprine เมื่อต้องควบคุมการอักเสบอย่างต่อเนื่อง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยต้องใช้สเตียรอยด์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยลดการทำลายเซลล์เม็ดสีจากภูมิคุ้มกัน
  • ยาในกลุ่มชีววัตถุ (Biological DMARDs): ในกรณีที่การรักษาด้วยสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกันไม่ได้ผลดี แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาในกลุ่มชีววัตถุ เช่น Infliximab หรือ Adalimumab เพื่อยับยั้งสารก่อการอักเสบในร่างกาย และช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ
  • การรักษาเฉพาะทางเพิ่มเติม: สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้อกระจก หรือต้อหิน แพทย์อาจใช้การผ่าตัดและยาหยอดตาเฉพาะทาง รวมถึงการใช้เครื่องช่วยฟังในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการได้ยิน
  • การติดตามอาการ: ควรพบแพทย์ตรวจดวงตาและระบบภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามการรักษา ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และจัดการกับอาการใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH)


โรค VKH อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดวงตาและระบบอื่น ๆ หากการอักเสบไม่ได้รับการควบคุม อาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่พบได้บ่อย ได้แก่


  1. สูญเสียการมองเห็นถาวร: การอักเสบในดวงตาอาจเกิดขึ้นบริเวณจุดรับภาพชัด (macula) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการมองเห็นได้ชัดเจน หากการอักเสบไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
  2. จอตาลอก: การอักเสบที่เกิดจากโรค VKH สามารถทำให้เกิดภาวะจอตาลอก (retinal detachment) ซึ่งมีผลต่อการมองเห็นและเป็นภาวะที่ต้องรักษาโดยเร็ว
  3. ต้อหิน (Glaucoma): การอักเสบเรื้อรังในดวงตาอาจเพิ่มแรงดันในลูกตา ทำให้เกิดต้อหิน ซึ่งจะทำให้การมองเห็นลดลงและอาจสูญเสียการมองเห็นถาวร
  4. ต้อกระจก (Cataract): การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวเพื่อควบคุมการอักเสบอาจทำให้เกิดต้อกระจกได้
  5. อาการหูอื้อและสูญเสียการได้ยิน: โรค VKH อาจทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวร รวมถึงอาจได้ยินเสียงวี๊ดในหูและเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบที่ของระบบหู
  6. อาการทางระบบประสาท: ภาวะอักเสบอาจทำให้เกิดปวดศีรษะ คอแข็ง คลื่นไส้ หรืออาการคล้ายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่ความผิดปกติของระบบประสาทอื่น ๆ ได้
  7. ผื่นด่างขาวและผมร่วง: ผู้ป่วย VKH อาจเกิดภาวะผิวด่างขาว (Vitiligo) หลังจากการอักเสบในดวงตา นอกจากนี้อาการผมร่วงหรือสีผิวเปลี่ยนเป็นซีดขาวก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน

การติดตามอาการและการรักษาต่อเนื่องโดยทีมแพทย์เฉพาะทางเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้


คำแนะนำในการดูแลตัวเองและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ


  • เข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาและอาการอื่น ๆ เป็นประจำ เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามอาการและปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรคที่อาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การติดเชื้อไวรัส
  • รักษาสุขภาพจิตและพักผ่อนอย่างเพียงพอ เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สรุป


โรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลายระบบ ส่งผลต่อดวงตา ผิวหนัง หู และระบบประสาท เป็นโรคที่พบได้น้อย ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และชาวพื้นเมืองอเมริกัน โรคนี้มีอาการหลากหลาย เช่น ตาอักเสบ หูอื้อ ผิวหนังเป็นรอยด่างขาว และอาการทางสมอง


การรักษา VKH จะเน้นที่การลดการอักเสบ มีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น การสูญเสียการมองเห็น ต้อกระจก และต้อหิน ทำให้การติดตามอาการและการรักษาต่อเนื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น






เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

ศูนย์จักษุ

บทความที่เกี่ยวข้อง (7)

ดูทั้งหมด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) รู้เร็ว รักษาได้ ลดเสี่ยงตาบอด

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น และทำให้เกิดโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาลอก การติดเชื้อในดวงตา การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และการตรวจสุขภาพตาช่วยลดความเสี่ยงการสูญเสียการมองเห็นได้

ภาวะตาแห้งรู้ก่อนป้องกันได้

ภาวะตาแห้งสามารถพบได้ทั่วไปทุกเพศทุกวัย เกิดจากปริมาณน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาและกระจกตาไม่เพียงพอ โดยทั่วไปภาวะตาแห้งไม่รุนแรง แต่ในบางรายหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจเกิดแผลที่กระจกตา อาจกระจกตาทะลุถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้นเราควรดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตาแห้งรุนแรง

ICL เลนส์เสริม ทางเลือกของการแก้ไขสายตา

ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหาสายตามีหลากหลายวิธี เช่น การใช้แว่นตา, คอนแทคเลนส์ หรือการท าเลสิค (LASIK) แต่สำหรับบางคนที่มีข้อจำกัดไม่สามารถทำเลสิคได้เช่น ผู้ที่มีสายตาสั้น, สายตาเอียงมากเกินไป หรือผู้ที่มีความหนาของกระจกตาไม่เพียงพอ ICL (Intraocular Collamer Lens) เป็นทางเลือกที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้

Computer Vision Syndrome

เป็นกลุ่มอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาการจะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ อาการของ Computer Vision Syndrome ได้แก่ อาการเมื่อยล้าปวดตาเคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ระยะห่างระหว่างตาและคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม ท่านั่งไม่เหมาะสม ค่าสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นหรือยาวที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือมาจากหลายๆสาเหตุร่วมกัน

ต้อหิน รู้เร็ว รักษาก่อน

โรคต้อหิน คือโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วยโรคนี้ เนื่องจากส่วนมากไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร และหากเป็นแล้ว แม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆได้ สำหรับกลไกการเกิดต้อหิน เกิดจาดความผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ซึ่งปกติจะถูกสร้างและมีทางระบายออก ในโรคต้อหินชนิดความดันตาสูง มีความผิดปกติของการระบายน้ำออก ทำให้ความดันตาสูงขึ้น (ปกติ คาความดันตาไม่ควรเกิน 21 มม.ปรอท) และไปกดทับเส้นประสาทตา ส่วนในโรคต้อหินชนิดความดันตาไม่สูง เชื่อว่า เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้าๆจากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ มักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน ไมเกรน

โรคต้อกระจก…อาการ การรักษา และการป้องกัน

“ต้อกระจก” เกิดจากความเสื่อมตามอายุ โดยพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระยะเเรกอาการจะไม่รุนเเรง มีตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน เเต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดโรคต้อหินที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น ต้อกระจกรักษาได้ด้วยการผ่าตัด

เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องผ่าตัดต้อกระจก

ต้อกระจก คือ ภาวะเลนส์ตาขุ่น ทำให้การมองเห็นภาพมัวลง สามารถรักษาได้โดยผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน การผ่าตัดต้อกระจก สามารถทำได้ 2 วิธี

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital