บทความสุขภาพ

Knowledge

เบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) รู้เร็ว รักษาได้ ลดเสี่ยงตาบอด

นพ. ศิริพงศ์ สินประจักษ์ผล

เบาหวานเป็นโรคยอดฮิต โดยพบว่าทั่วโลกมีผู้เป็นโรคเบาหวานมากกว่า 420 ล้านคน ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ และยังเป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบต่าง ๆ ของร่างกายตามมาได้อีกหลายระบบ เช่น ไตวาย หลอดเลือดส่วนปลายตีบ ปลายประสาทเสื่อม แผลหายยาก เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจ และยังทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดจาก “ภาวะเบาหวานขึ้นตา” ได้อีกด้วย



โรคเบาหวาน


โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ทำหน้าที่หลั่งฮอร์โมน “อินซูลิน” เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือมีภาวะที่ร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจะมีปัญหาการเผาผลาญน้ำตาล ซึ่งเบาหวานเป็นโรคที่ทำให้มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ในหลาย ๆ ระบบของร่างกาย เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาวะไตวาย ภาวะปลายประสาท ภาวะแผลติดเชื้อ รวมไปถึง “ภาวะเบาหวานขึ้นตา”



ภาวะเบาหวานขึ้นตา


ภาวะเบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่พบได้บ่อย เป็นสาเหตุของความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในดวงตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้ในที่สุด มักพบในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน แล้วทำให้หลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตา (retina) เสียหายจนอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด



เบาหวานขึ้นตาเกิดจากอะไร?


ภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นาน ๆ จะทำให้บริเวณที่มีหลอดเลือดเล็ก ๆ เกิดการเสียหายได้ ซึ่ง ดวงตาเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีหลอดเลือดฝอยอยู่มาก โดยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจะไปทำลายผนังหลอดเลือดในจอประสาทตา ทำให้เกิดโป่งพอง อุดตัน มีการรั่วซึมของสารน้ำและเม็ดเลือด เกิดจอประสาทตาบวม จอตาขาดเลือด เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ซึ่งหลอดเลือดที่สร้างขึ้นใหม่นี้จะเปราะ แตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออกเข้าวุ้นตาทำให้ตามัวจนถึงตาบอด หรือเกิดพังผืดดึงรั้งจอตาทำตาบอดได้



เบาหวานขึ้นตามีกี่ระยะ?


ภาวะเบาหวานขึ้นตาแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่


  • ภาวะเบาหวานขึ้นตาที่ยังไม่มีหลอดเลือดสร้างใหม่ (non-proliferative diabetic retinopathy; NPDR) เป็นระยะแรกของโรค พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นระยะที่เกิดความเสียหายของผนังหลอดเลือดในดวงตา ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งแรง เกิดหลอดเลือดโป่ง อาจพบเลือดออกในตา หรือมีของเหลวรั่วจากหลอดเลือดเข้าไปที่จอประสาทตา เกิดการบวมของจอประสาทตา ซึ่งอาจพบได้ไม่มากในระยะแรก ๆ แต่หากอาการรุนแรงขึ้นอาจมีเลือดออกที่กลางจอประสาทตาซึ่งเป็นจุดภาพชัด (macula) จนเกิดการบวมของจุดภาพชัด (macular edema) หรือหากหลอดเลือดเสียหายจนไม่มีเลือดไปเลี้ยงจุดภาพชัด จะทำให้เกิดภาวะจุดภาพชัดขาดเลือด (macular ischemia) ส่งผลต่อการมองเห็นได้
  • ภาวะเบาหวานขึ้นตาที่มีหลอดเลือดสร้างใหม่ (proliferative diabetic retinopathy; PDR) เป็นระยะที่โรคมีความรุนแรง เกิดความเสียหายของหลอดเลือดในตาอย่างรุนแรงจนเกิดการขาดเลือด หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ แต่หลอดเลือดที่สร้างมาใหม่นั้นเป็นหลอดเลือดที่ไม่ปกติ ผนังของหลอดเลือดไม่แข็งแรง เปราะแตกได้ง่าย จึงทำให้เกิดการแตกและมีเลือดออกเข้ามาในวุ้นลูกตามากขึ้น เกิดพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้เกิด ภาวะจอตาลอก (retinal detachment) จนอาจสูญเสียการมองเห็น นอกจากนี้การสร้างหลอดเลือดใหม่จะไปรบกวนการระบายของเหลวภายในลูกตา ทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น เกิดเป็นโรคต้อหิน (glaucoma) ตามมาได้


อาการของเบาหวานขึ้นตา


“เบาหวานขึ้นตา” เป็นอาการที่เกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี มีระดับน้ำตาลสูงเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาการที่พบได้ เช่น


  • ในระยะแรก จะไม่แสดงอาการผิดปกติของการมองเห็น ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ามีภาวะของเบาหวานขึ้นตา และเมื่อมีอาการก็อยู่ในระยะที่รุนแรงแล้ว ดังนั้นจักษุแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานตรวจตาเป็นประจำ เพื่อจะได้รักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกว่า
  • หากปล่อยไว้จะเริ่มมีอาการ
    • ตาพร่ามัว
    • เห็นเงามืด หรือเงาบังตรงกลางภาพ
    • ภาพที่เห็นมีลักษณะบิดเบี้ยว ซึ่งเกิดจากจุดรับภาพบวม
    • เห็นจุด หรือเส้น ๆ ลอยไปมา
    • มองภาพไม่ชัดในเวลากลางคืน
  • หากปล่อยทิ้งไว้ อาการจะรุนแรงขึ้น โดยจะมีอาการ
    • จอตาลอก จากการที่มีพังผืด
    • ตามืด จากการที่มีเลือดออกมากในวุ้นลูกตา
    • สูญเสียการมองเห็นถาวร


โรคแทรกซ้อนที่มากับเบาหวานขึ้นตา


โรคเบาหวานไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเสียหายกับจอประสาทตา แต่ยังทำให้เกิดโรคของตาตามมา ได้แก่


  • โรคต้อหิน (Glaucoma) จากการที่มีความดันลูกตาสูงขึ้น
  • โรคต้อกระจก (Cataract) พบว่าผู้ป่วยเบาหวานเป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น
  • ติดเชื้อบริเวณกระจกตาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานจะมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แย่ลง
  • หากมีการผ่าตัดที่เกี่ยวกับตา อาจทำให้แผลผ่าตัดหายยาก หรือติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติ
  • เพิ่มโอกาสในการสูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดถาวรได้


ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงตาบอดมากกว่าคนปกติเพราะอะไร?


เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงโรคตามากขึ้น ทั้งต้อกระจก ต้อหิน เส้นประสาทตา และเส้นประสาทกล้ามเนื้อตาผิดปกติ รวมทั้งเบาหวานขึ้นตา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของตาบอดที่ไม่ใช่ตาบอดตั้งแต่กำเนิดในประชากรโลกปัจจุบัน


และจากสถิติในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานนาน 2-3 ปี จะพบภาวะเบาหวานขึ้นตาประมาณ 3-4% และเพิ่มเป็น 15-20% เมื่อเป็นเบาหวานนาน 15 ปี



การวินิจฉัยภาวะเบาหวานขึ้นตา


  • การซักประวัติ ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน ประวัติการคุมระดับน้ำตาลในเลือด และโรคประจำตัวอื่น ๆ
  • การวัดสายตา
  • การวัดความดันลูกตา
  • การตรวจตาอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์
  • ตรวจ slit lamb เพื่อตรวจดูสุขภาพของกระจกตาและส่วนหน้าของตา
  • ตรวจจอประสาทตาด้วย indirect ophalmoscope

โดยผู้ป่วยเบาหวานทุกรายควรตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง



เบาหวานขึ้นตา รักษาหายไหม?


เบาหวานขึ้นตาเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ดังนั้นหากเป็นโรคเบาหวานก็จะมีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขึ้นตา และการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นตาจะขึ้นอยู่กับระยะที่เป็น หากอยู่ในระยะเริ่มแรกก็จะสามารถรักษาเพื่อไม่ให้อาการลุกลามรุนแรงได้ โดยการรักษาจะประกอบด้วย


  • การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นการรักษาที่เน้นที่ต้นเหตุ และหากมีโรคอื่น ๆ เช่น โรคความดัน ไขมันในเลือดสูง ก็ต้องควบคุมและรักษาโรคร่วมเหล่านี้ด้วย
  • การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ เช่น การควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดเสียหายมากขึ้น
  • การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ หากเริ่มมีเลือดออกในลูกตาเยอะขึ้น โดยแพทย์จะยิงเลเซอร์ที่บริเวณรอบนอกของจอประสาทตา เพื่อลดออกซิเจนของเนื้อเยื่อตาที่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และช่วยลดการหลั่งสารสร้างหลอดเลือดที่ผิดปกติจากเบาหวานขึ้นตา
  • การฉีดยาเข้าที่น้ำวุ้นลูกตา เพื่อลดการบวมของจอประสาทตา ในผู้ป่วยที่มีจอประสาทตาบวมร่วมด้วย
  • การผ่าตัด ซึ่งเป็นการรักษาในรายที่อาการรุนแรง เช่น ในรายที่มีพังผืด ภาวะจอตาลอก หรือมีเลือดออกในวุ้นลูกตามาก
  • การรักษาหลายวิธีร่วมกัน ในรายที่รุนแรงมาก การรักษาเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องได้รับการรักษาหลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

ในผู้ป่วยที่รักษาภาวะเบาหวานขึ้นตาจนโรคสงบแล้ว จำเป็นที่จะต้องตรวจติดตามอยู่เป็นระยะ และยังคงต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง



นวัตกรรมการรักษาเบาหวานขึ้นตา


ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้เครื่องมือการตรวจวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับดวงตามีความก้าวหน้ามากขึ้น เช่น กล้องตรวจตาที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถถ่ายภาพและต่อภาพที่ทำให้เห็นพื้นที่จอประสาทตาได้ถึง 200 องศา (โดยที่กล้องแบบเดิมสามารถถ่ายได้เพียง 50 องศา) ทำให้ช่วยลดการใช้ยาขยายม่านตา และทำให้ความไวในการตรวจโรคดีขึ้น และยังให้ผลดีสำหรับผู้ป่วย เพราะแต่เดิมหลังหลอดยาขยายม่านตาจะทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพเบลอไปราว 4-5 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถขับรถได้ ดังนั้นการมาตรวจตาแบบเดิมจำเป็นต้องมีญาติมาด้วย เพราะผู้ป่วยจะไม่สามารถขับรถกลับบ้านเองได้


นอกจากนี้ยาที่ใช้รักษาภาวะเบาหวานขึ้นตายังพัฒนาไปมาก แต่อาจยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง คือ ในระยะ 4-6 เดือนแรกผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาทุกเดือน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะฟื้นฟูการมองเห็นให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้ถึง 60-70%



การป้องกันเบาหวานขึ้นตา


  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ
  • ควบคุมไขมันในเลือด และความดันให้ปกติ
  • รับประทานยาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่เพิ่มหรือลดยาเอง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปี
  • ผู้ป่วยเบาหวานแนะนำให้ตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


การดูแลสุขภาพตา


  • พักสายตาเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น หากใช้จอประมาณ 1-2 ชั่วโมง ควรพักสายตาสัก 5-10 นาที โดยพยายามหาจุดโฟกัสที่ไกล ๆ เพื่อลดการล้าของดวงตา
  • กระพริบตาบ่อย ๆ และ ใช้น้ำตาเทียม หากมีอาการตาแห้ง จากการใช้สายตาหรือเพ่งจอนาน ๆ
  • รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 (omega-3) จะช่วยลดอาการตาแห้งได้
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, D และ สังกะสี (zinc) จะช่วยชะลอความเสื่อมของจุดรับภาพ ในผู้ที่มีโรคเฉพาะทางตา
  • สวมแว่นตากันแดด เพื่อป้องกันรังสี UV
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับดวงตา


สรุป


  • พักสายตาเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น หากใช้จอประมาณ 1-2 ชั่วโมง ควรพักสายตาสัก 5-10 นาที โดยพยายามหาจุดโฟกัสที่ไกล ๆ เพื่อลดการล้าของดวงตา
  • กระพริบตาบ่อย ๆ และ ใช้น้ำตาเทียม หากมีอาการตาแห้ง จากการใช้สายตาหรือเพ่งจอนาน ๆ
  • รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 (omega-3) จะช่วยลดอาการตาแห้งได้
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, D และ สังกะสี (zinc) จะช่วยชะลอความเสื่อมของจุดรับภาพ ในผู้ที่มีโรคเฉพาะทางตา
  • สวมแว่นตากันแดด เพื่อป้องกันรังสี UV
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับดวงตา


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ศิริพงศ์  สินประจักษ์ผล

นพ. ศิริพงศ์ สินประจักษ์ผล

ศูนย์จักษุ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (2)

ดูทั้งหมด

โปรแกรมตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy Screening)

โปรแกรมตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy Screening)

ตรวจคัดกรองเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy Screening)

฿ 2,500

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

ตรวจสุขภาพตาแบบพรีเมียม (Eye Screening Premium)

฿ 4,900

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

การเสียชีวิตและภาวะแบคทีเรียกินเนื้อ จากการรับประทานหอยนางรมดิบ

การรับประทานอาหารทะเลดิบ เช่น หอยนางรมดิบ อาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลติดเชื้อ และภาวะเนื้อตาย หากมีบาดแผลจะทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายได้ วิธีป้องกันควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลดิบ และหากมีบาดแผลไม่ควรสัมผัสน้ำทะเล และควรทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง

ภาวะเลือดเป็นกรด DKA ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ภาวะ DKA คือ ภาวะที่เลือดเป็นกรดจากการคั่งของสารคีโตนร่วมกับมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง

อวสาน น้ำตาลเทียม …. จริงหรือ?

สารให้ความหวานเป็นตัวช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและน้ำหนัก แต่หลายคนอาจกังวลถึงผลในระยะยาวต่อสุขภาพ ล่าสุดองค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า สารให้ความหวานไม่ใช่ทางเลือกในการลดน้ำหนักและป้องกันโรค ควรรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลตามธรรมชาติ ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแทน

พิษไซยาไนด์ และยาต้านพิษ การช่วยชีวิตคนถูกพิษไซยาไนด์

พิษไซยาไนด์ สารพิษร้ายแรงทำให้เสียชีวิตภายในเวลาเป็นนาทีถึงชั่วโมง ถ้าสามารถวินิจฉัยได้ สามารถช่วยชีวิตได้ทันเนื่องจากมียาแก้พิษ (Antidote) โดยเฉพาะ

เบาหวาน รู้ไว้เบาใจกว่า

เบาหวานเป็นโรคที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้นจึงควรป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และหากเป็นโรคเบาหวานแล้ว ควรรักษาสุขภาพและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง ทางเลือกควบคุมน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลที่ปลายนิ้ว ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานทราบระดับน้ำตาลของตนเองเมื่อมีอาการผิดปกติต่าง ๆ ป้องกันภาวะน้ำตาลตก ช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในเลือดได้ดีขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากโรคเบาหวาน

ภาวะตาแห้งรู้ก่อนป้องกันได้

ภาวะตาแห้งสามารถพบได้ทั่วไปทุกเพศทุกวัย เกิดจากปริมาณน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาและกระจกตาไม่เพียงพอ โดยทั่วไปภาวะตาแห้งไม่รุนแรง แต่ในบางรายหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจเกิดแผลที่กระจกตา อาจกระจกตาทะลุถึงขั้นตาบอดได้ ดังนั้นเราควรดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตาแห้งรุนแรง

Metabolic Syndrome โรคที่มากับความอ้วน

Metabolic Syndrome เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึง กลุ่มอาการของโรคที่เกี่ยวข้องและมีสาเหตุมาจากความอ้วนซึ่งมีมูลเหตุมาจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ (Metabolism) ซึ่งนำไปสู่โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และภาวะดื้ออินซูลินในที่สุดจะก่อให

“น้ำตาลในเลือดต่ำ”…ภาวะอันตรายในผู้ป่วยเบาหวาน

น้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) เกิดได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นภาวะที่อันตราย หากปล่อยไว้อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติ และเสียชีวิตได้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขหรือรักษาอย่างถูกต้อง และควรหาสาเหตุร่วมกับแพทย์เพื่อการรักษาและป้องกันอย่างเหมาะสม

โรคอ้วน โรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงอาการรุนแรง จากติดโควิด 19

คนที่เป็นโรคอ้วน ส่วนใหญ่มักจะมีโรคประจำตัวเรื้อรังอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคเบาหวาน จึงควรรีบฉีดวัคซีนแต่เนิ่น ๆ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital