บทความสุขภาพ

Knowledge

อาการเบาหวาน สัญญาณเตือนจากร่างกายที่ห้ามละเลย!

โรคเบาหวาน (diabetes) ถือเป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีความสำคัญและมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของกระบวนการเมแทบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงผิดปกติ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย


การรู้จักอาการเบาหวานตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อจะได้สามารถวินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ความรุนแรงของโรคจะรุนแรงขึ้น


เบาหวานคืออะไร?


เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือมีภาวะดื้ออินซูลิน ออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีประสิทธิภาพ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้เส้นเลือดแดงตีบตัน ทำให้มีอาการขาดเลือดของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหัวใจและหลอดเลือด จอประสาทตา ไต และระบบประสาท หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เบาหวานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้


อาการเบาหวาน


อาการเบาหวานเริ่มต้น


อาการเบาหวานเริ่มต้นมักไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่หากมีอาการดังนี้ แปลว่าระดับน้ำตาลสูงชัดเจนแล้ว ได้แก่


  1. ปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะปริมาณมาก บ่อยครั้งขึ้น แม้ในเวลากลางคืน
  2. รู้สึกกระหายน้ำบ่อยขึ้น เป็นผลมาจากการขาดน้ำ สูญเสียน้ำทางปัสสาวะมาก จะมีอาการกระหายน้ำ คอแห้ง หรือปากแห้งผิดปกติ
  3. รู้สึกหิวบ่อยขึ้น เนื่องจากเซลล์ในร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงส่งสัญญาณให้รู้สึกหิวบ่อย ๆ เพลีย บางคนรู้สึกเหมือนร่างกายขาดน้ำตาล รับประทานของหวานแล้วสดชื่นขึ้น
  4. น้ำหนักลด แม้จะรับประทานอาหารมากขึ้นก็ตาม เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมและใช้น้ำตาลได้ จึงต้องใช้พลังงานจากการเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อ ทำให้น้ำหนักลดลง แต่ไม่แข็งแรง
  5. อาการอื่น ๆ เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนแรง ผิวแห้งคัน แผลหายช้า เป็นฝีที่ผิวหนังบ่อยๆ การมองเห็นพร่ามัว ชาตามปลายมือปลายเท้า เชื้อราที่ผิวหนัง เป็นต้น เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย

หากมีอาการเบาหวานดังกล่าวหลายอย่างร่วมกัน ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคเบาหวานและพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว


อาการเบาหวานระยะต่อมา


หากโรคเบาหวานไม่ได้รับการควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม อาการแทรกซ้อนจะรุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไป และอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนี้


ระบบหัวใจและหลอดเลือด


  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบตันจากการสะสมของไขมันคอเลสเตอรอลตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจวาย โดยเฉพาะถ้ามีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือสูบบุหรี่ร่วมด้วย

**แนะนำแพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจ >> แพ็กเกจเช็คหัวใจให้ชัวร์ Exclusive Heart


ระบบไต


  • ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดแดงเล็ก ๆ ที่ไตเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ จนไตสูญเสียการทำงานอย่างถาวร ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับการบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดหรือผ่าตัดปลูกถ่ายไตใหม่

ระบบประสาท


  • เส้นประสาทเสื่อม ทำให้เกิดอาการชา หรือปวดแสบปวดร้อน หรือรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยเข็มหรือมีดบริเวณปลายมือปลายเท้า ปลายประสาทเสื่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรัง และการสูญเสียนิ้วเท้า หรือเท้าในที่สุดท้าย

ระบบตา


  • “อาการเบาหวานขึ้นตา” เพิ่มความเสี่ยงของ
    • ต้อกระจก เลนส์ตาขุ่นทำให้ตาพร่ามัว มองไม่ชัดเจน
    • จอประสาทตาเสื่อม ซึ่งในระยะแรกอาจไม่มีอาการ แต่อาจรุนแรงขึ้นจนสูญเสียการมองเห็น
  • อาการเบาหวานลงเท้า เสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรังที่เท้า เนื่องจากอาการชา จากเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม และเลือดไหลเวียนไม่ดี เนื่องจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตันและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง แผลลุกลามอาจสูญเสียเท้าหรือขาได้

นอกจากนี้ยังมีภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วน ไขมันพอกตับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะซึมเศร้า กระเพาะปัสสาวะอ่อนแรง เป็นต้น


หากเบาหวานรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญหลายระบบในร่างกาย ลดคุณภาพชีวิตลงอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง ผู้ป่วยเบาหวานจึงจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา


แพทย์วินิจฉัยเบาหวานได้อย่างไร?


การตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีการที่แพทย์ใช้วินิจฉัยเบาหวาน โดยปกติจะมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (fasting blood sugar) และการตรวจน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) เพื่อให้ได้ภาพรวมของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา


  1. การตรวจน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (fasting blood sugar) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ค่าปกติควรอยู่ระหว่าง 70-99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าหรือเท่ากับ 126 mg/dL จะถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
  2. การตรวจน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) เป็นการตรวจวัดค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ค่าปกติควรต่ำกว่า 5.7% หากระดับ HbA1c สูงกว่าหรือเท่ากับ 6.5% จะถือว่าเป็นโรคเบาหวาน

การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงเบาหวาน


แม้ว่าเบาหวานจะเป็นโรคเรื้อรัง แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพสามารถช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้


  1. การควบคุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ผักและผลไม้สด ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low glycemic index) หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง รับประทานอาหารเป็นมื้อ หลีกเลี่ยงการกินจุกจิก รวมถึงการลดบริโภคเกลือ และเลือกรับประทานไขมันที่ดีด้วย
  2. การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ควรเลือกกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง หรือการปั่นจักรยาน การออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
  3. การควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน และยังส่งผลดีต่อสุขภาพทั่วไป การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  4. การตรวจสุขภาพประจำปี: การตรวจสุขภาพและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การพบแพทย์เป็นประจำจะช่วยให้สามารถติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาได้ตามความเหมาะสม
  5. การจัดการความเครียด: ความเครียดสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ การหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การฝึกโยคะ การทำสมาธิ หรือการพักผ่อนที่เพียงพอ เป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดได้ การมีเวลาพักผ่อนและการทำกิจกรรมที่ชอบช่วยลดระดับความเครียดได้มาก
  6. การเลิกบุหรี่และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ การเลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งสำคัญ การลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือการเลิกบุหรี่จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

สรุป


การรู้จักและเข้าใจอาการของโรคเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราสามารถจับสัญญาณเตือนภัยได้ตั้งอาการ เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หิวบ่อยผิดปกติ น้ำหนักลดเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งมาบอกว่าระดับน้ำตาลในเลือดอาจสูงผิดปกติ


การสังเกตอาการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานและส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี เบาหวานเป็นโรคที่ควบคุมได้ หากเราให้ความใส่ใจสุขภาพจริงจัง ดูแลตนเองอย่างถูกวิธี และปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ


หากมีอาการที่น่าสงสัย หรือมีข้อกังวลเกี่ยวกับอาการเบาหวาน ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการวินิจฉัยอาการเพิ่มเติม


ปรึกษาอาการเบื้องต้นได้เลย เพื่อสุขภาพของคุณ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

EST คืออะไร? การตรวจสมรรถภาพหัวใจ Exercise Stress Test

EST (Exercise Stress Test) คือ การออกกำลังกายตรวจสมรรถภาพหัวใจ เป็นวิธีวินิจฉัยสุขภาพหัวใจเพื่อทำการรักษาต่อไป EST มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออะไร รู้สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายดี

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออาการที่พบได้บ่อยในคนที่ใช้แรงเยอะ ๆ หรือเคยไหล่หลุดมาก่อน มาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุดได้บ้าง และจะต้องดูแลรักษาตัวอย่างไ

กระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? รู้จักอาการ สาเหตุ และการป้องกัน

โรคกระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? ชวนคุณมาทำความรู้จักกับอาการ สาเหตุ และการรักษา เพื่อป้องกันสุขภาพตัวเองไม่ให้กระดูกคอได้รับบาดเจ็บ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital