บทความสุขภาพ

Knowledge

การตรวจ EEG วินิจฉัยเนื้องอก ภัยเงียบที่ต้องรีบรักษาก่อนสาย

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

โรคลมชัก อาการชัก หรือภาวะหมดสติเฉียบพลัน อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติในสมองที่ซ่อนอยู่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography หรือ EEG) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติของสมองได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงของการลุกลามที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกรณีมีเนื้องอกในสมอง ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง และนำไปสู่อาการต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้


Key Takeaways


  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG Test) คือเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัยความผิดปกติของสมอง รวมถึงเนื้องอกในสมอง และภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง
  • การตรวจ EEG คือ การตรวจที่ไม่อันตราย ไม่ต้องผ่าตัด และมีประโยชน์อย่างมากในการระบุชนิดของอาการชัก รวมถึงตำแหน่งความผิดปกติในสมอง

EEG คืออะไร?


EEG หรือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยทางระบบประสาทวิทยา ที่ใช้ในการบันทึกสัญญาณคลื่นไฟฟ้าสมอง (Brain Wave) โดยใช้ขั้วไฟฟ้าขนาดเล็ก (Electrodes) ติดบนหนังศีรษะของผู้ป่วย ขั้วไฟฟ้าเหล่านี้จะตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเซลล์ประสาทในสมอง และส่งสัญญาณไปยังเครื่องบันทึกเพื่อแสดงผลเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้า โดยมีลักษณะเคลื่อนไหวขึ้นลงเหมือนกับคลื่นทั่วไป และมีหน่วยวัดเป็นรอบต่อนาที


การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบคลื่นไฟฟ้าสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติในการทำงานของสมอง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากภาวะต่าง ๆ เช่น โรคลมชัก, เนื้องอกในสมอง, การบาดเจ็บที่ศีรษะ, ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เป็นต้น


ประโยชน์ของการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง EEG


การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยวินิจฉัยและติดตามอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง โดยประโยชน์หลัก ๆ ของ EEG มีดังนี้


  • การวินิจฉัยโรคลมชัก (Epilepsy) : การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคลมชัก สามารถบอกตำแหน่งของคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติในสมองและระบุชนิดของอาการชักได้ ช่วยให้แพทย์สามารถเลือกยากันชักที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งยังใช้ในการวางแผนเพื่อหยุดยากันชักอีกด้วย
  • ติดตามผลการรักษา : การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองในผู้ป่วยโรคลมชัก สามารถใช้ติดตามผลการรักษาด้วยยา หรือการรักษาอื่น ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
  • การตรวจหาความผิดปกติในสมอง : การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง สามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง ฝีในสมอง การอักเสบของสมอง หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าสมองได้
  • ประเมินการทำงานของสมอง : การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง สามารถใช้ประเมินการทำงานของสมองในผู้ป่วยที่มีภาวะหมดสติ หรือภาวะทางสมองอื่น ๆ เช่น ภาวะสมองตาย (Brain Death) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
  • ใช้ประเมินก่อนเข้ารับการผ่าตัดสมอง : ในบางกรณี เช่น โรคลมชักที่ดื้อต่อยา (Medical Refractory Epilepsy) หรือ เนื้องอกในสมองที่อยู่ใกล้กับบริเวณสำคัญทางสมอง (Eloquent Cortex) ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองร่วมกับการตรวจอื่น ๆ ก่อนการผ่าตัดสมอง เพื่อประเมินอาการและระบุบริเวณที่เกิดความผิดปกติ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  • วินิจฉัยภาวะนอนหลับผิดปกติ : การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจคุณภาพการนอนหลับ (Polysomnography) ซึ่งใช้ในการวินิจฉัยภาวะนอนหลับผิดปกติบางชนิด
  • ช่วยแยกสาเหตุของภาวะทางจิตเวช : สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวชจากพยาธิสภาพในสมองหรือมีโรคลมชัก ส่วนมากมักตรวจพบคลื่นสมองที่มีความผิดปกติ ในขณะที่ผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุมาจากจิตใจ มักตรวจไม่พบความผิดปกติของคลื่นสมอง

เตรียมตัวก่อนตรวจ EEG ทำอย่างไร?


ก่อนเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ผู้ป่วยควรเตรียมตัวตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้


  • คืนก่อนการตรวจ ควรนอนหลับประมาณ 4–6 ชั่วโมง และ ไม่งีบหลับระหว่างวัน เนื่องจากแพทย์อาจต้องการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองขณะหลับร่วมด้วย เพื่อช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของคลื่นสมองได้ชัดเจนขึ้น
  • ควรสระผมให้สะอาดในวันตรวจ งดใช้ครีมนวดผม เจล หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เนื่องจากอาจรบกวนการติดขั้วไฟฟ้าบนหนังศีรษะ
  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานยากันชักได้ตามปกติ เว้นแต่แพทย์ผู้ดูแลจะสั่งให้หยุดใช้ก่อนการตรวจ
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร สามารถทานได้ตามปกติ

วิธีการตรวจ EEG มีขั้นตอนอะไรบ้าง?


วิธีตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง

ขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้


  • ผู้ป่วยจะได้รับการจัดให้นอนราบบนเตียงในท่าที่สบาย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจ
  • เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดหนังศีรษะ และติดขั้วไฟฟ้า (Electrode) ในตำแหน่งต่าง ๆ โดยใช้เจลนำไฟฟ้า จากนั้นเชื่อมต่อสายเข้ากับเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง
  • เมื่อขั้วไฟฟ้าติดแน่นดีแล้ว เครื่องจะเริ่มบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง ซึ่งแสดงผลออกมาในรูปแบบกราฟบนกระดาษหรือจอภาพ
  • ผลการตรวจที่ได้จะถูกอ่านและแปลผลโดยแพทย์เฉพาะทาง
  • หลังการตรวจเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จะทำการถอดขั้วไฟฟ้า (Electrode) ออกจากศีรษะของผู้ป่วย

ทั้งนี้ ในระหว่างการตรวจ แพทย์อาจมีการกระตุ้นสมองเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าสมอง โดยใช้วิธีการเหล่านี้


การบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง


ในขั้นตอนนี้ ผู้ป่วยจะต้องนอนนิ่ง ๆ โดยไม่ขยับตัวหรือพูดคุย เพื่อให้เครื่องตรวจสามารถบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมองได้อย่างแม่นยำ ระหว่างนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกให้ผู้ป่วยลืมตาสลับกับหลับตาเป็นระยะ เพื่อกระตุ้นคลื่นไฟฟ้าสมองให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยขั้วไฟฟ้า (Electrode) ที่ติดบนหนังศีรษะจะทำหน้าที่เก็บสัญญาณคลื่นไฟฟ้าดังกล่าวตลอดช่วงเวลาที่กำหนด


การหายใจแรงลึก (Hyperventilation)


การหายใจแรงลึก (Hyperventilation) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของคลื่นสมอง โดยผู้ป่วยจะต้องหายใจเข้าลึก ๆ และรวดเร็วต่อเนื่องประมาณ 3 นาที กระบวนการนี้ช่วยเพิ่มโอกาสตรวจพบความผิดปกติในคลื่นไฟฟ้าสมอง แต่อาจทำให้ผู้ป่วยชัก หรือรู้สึกมึนศีรษะ ชาตามปลายมือปลายเท้าได้ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีหายใจแรงลึกทุกคน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์


การกระตุ้นด้วยแสงไฟ (Photic Stimulations)


การกระตุ้นด้วยแสงไฟ (Photic Stimulation) เป็นอีกวิธีที่ใช้ในการกระตุ้นสมอง โดยผู้ป่วยจะมองไปที่ไฟกะพริบที่เปิดและปิดด้วยความถี่ต่างกัน เพื่อดูว่ามีการตอบสนองผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองหรือไม่ โดยการทดสอบนี้มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคลมชักบางชนิด


ตรวจ EEG หาความเสี่ยงโรคทางสมอง พบเร็ว รักษาไว ช่วยป้องกันโรคลุกลาม


การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เป็นวิธีการตรวจที่ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว เหมาะสำหรับตรวจวินิจฉัยโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง, โรคลมชัก, ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ รวมถึงติดตามผลการรักษาผู้ป่วยทางระบบประสาท ช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว


หากคุณมีอาการผิดปกติ เช่น ชักบ่อย ปวดศีรษะเรื้อรัง หมดสติบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเข้ารับการตรวจ EEG ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือมาที่ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระรามเก้า เรามีทีมแพทย์เฉพาะทางและบุคลากรที่มีความชำนาญการเฉพาะโรคคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ดูแลรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้เร็ว เพิ่มโอกาสในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับEEG


1. การตรวจ EEG มีความเสี่ยงหรือไม่?


การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นการตรวจที่ปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากไม่มีการเจาะหรือใช้รังสี ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนศีรษะเล็กน้อยหลังการหายใจแรงลึกหรือการกระตุ้นด้วยแสงไฟ แต่อาการจะหายไปเองภายในไม่กี่นาที


2. หลังการตรวจ EEG ต้องพักฟื้นหรือไม่?


โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง สามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที อาจมีเจลนำไฟฟ้าหลงเหลืออยู่บนหนังศีรษะบ้าง แต่สามารถล้างออกได้ง่ายด้วยน้ำและแชมพู


3. ผลการตรวจ EEG บอกอะไรได้บ้าง?


ผลตรวจ EEG จะแสดงเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้า ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยาจะทำการอ่านและแปลผล รูปแบบของคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติสามารถบ่งชี้ถึงชนิดและความรุนแรงของความผิดปกติในสมอง เช่น คลื่นไฟฟ้าที่แหลมสูงอาจบ่งชี้ถึงภาวะลมชัก คลื่นไฟฟ้าที่ช้าลง (Slow Wave) ในบางบริเวณอาจบ่งชี้ถึงความเสียหายของเนื้อสมอง หรือมีเนื้องอกกดทับ


อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจ EEG เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย แพทย์อาจพิจารณาจากอาการ ประวัติทางการแพทย์ และผลการตรวจอื่น ๆ ร่วมด้วย


References


Mayo Clinic. (2024, May 29). EEG (electroencephalogram). https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/eeg/about/pac-20393875


Meara Withe. (2023, June 19). 10 conditions doctors assess with an EEG. MedicalNewsToday. https://www.medicalnewstoday.com/articles/10-conditions-diagnosed-with-an-eeg


Omar A. Danoun. (2023, 1 September). Brain Tumors. Epilepsy Foundation. https://www.epilepsy.com/causes/structural/brain-tumors#What-Are-the-Symptoms-of-DNETs,-Gangliogliomas,-and-Low-grade-Tumors?

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

ศูนย์สมองและระบบประสาท

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

เนื้องอกต่อมใต้สมอง ยิ่งตรวจพบเร็ว มีโอกาสรักษาหายได้ไว

ต่อมใต้สมอง เสมือนหอสั่งการให้ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ผลิตฮอร์โมนตามความต้องการของร่างกาย ความผิดปกติอาจทำให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

บ้านหมุน น่ากลัวไหม? เช็กสาเหตุอาการบ้านหมุน พร้อมวิธีรักษา

เข้าใจอาการบ้านหมุน เวียนหัวเกิดจากอะไร? ภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม เช็กสาเหตุ วิธีป้องกันบ้านหมุน และวิธีการรักษาโรคบ้านหมุน ทำอย่างไรให้ห่างไกลความเสี่ยง

อาการเวียนหัว เกิดจากสาเหตุใด ควรดูแลรักษายังไงเมื่อมีอาการ

อาการเวียนหัว เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้รู้สึกหมุนหรือโคลงเคลง มึนงง หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อาจเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเสียการทรงตัวได้

ตาพร่ามัว อาการหนึ่งของโรคทางสมองที่หลายคนคาดนึกไม่ถึง

ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน อาจไม่ใช่เพียงปัญหาสายตา แต่อาจมีสาเหตุจากความผิดปกติสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง สมองได้รับการกระทบกระเทือน

แขนขาอ่อนแรง อาจเป็นอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน

แขนขาอ่อนแรง เป็นหนึ่งในสัญญาณที่เกิดขึ้นได้เมื่อป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตันซึ่งอันตรายถึงชีวิต และควรรีบรักษาโดยไว หากมีอาการควรเข้ารับการวินิจฉัยโดยเร็ว

สมองขาดเลือด ภาวะเร่งด่วนต้องรีบรักษาก่อนเสี่ยงอัมพาต

อันตรายจากสมองขาดเลือดอาจทำให้เซลล์สมองตาย จนทำให้สมองส่วนที่ขาดเลือดเกิดอาการผิดปกติหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้อีกต่อไป ก่อให้พิการหรือเสียชีวิตได้ในที่สุด

เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) รู้ทันอาการปวดหัว แบบไหนเสี่ยงเป็นเนื้องอก

เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) คือ ภาวะที่ก้อนเนื้อในสมองเจริญเติบโตผิดปกติจนไปเบียดเนื้อสมองและเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือการมองเห็นผิดปกติ

CT Scan คืออะไร ต่างจาก MRI ไหม วินิจฉัยอะไรได้บ้าง?

CT Scan คือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในรูปแบบ 3 มิติ ใช้สำหรับตรวจวินิจฉัยทางรังสี สามารถตรวจโรคได้ทั้งกระดูก อวัยวะภายใน ใช้เวลาตรวจเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น

MRI คืออะไร? ตรวจร่างกายส่วนไหน วินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง?

Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI คือวิธีตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย โดยภาพถ่ายที่ได้จะมีความคมชัดสูง ช่วยให้วินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าวิธีการอื่น ๆ

โรคพาร์กินสัน มีลักษณะอาการแบบไหน สาเหตุคืออะไร รักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง?

หากพบว่าบุคคลในครอบครัว มีอาการมือสั่น แขนสั่น เคลื่อนไหวตัวช้า หรือเดินเซ อาจเป็นสัญญาณว่าท่านกำลังเผชิญอยู่กับ “โรคพาร์กินสัน” อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคนมักเข้าว่าโรคพาร์กินสันนั้นต้องเป็นในผู้สูงอายุเท่านั้น

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital