เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับอาการมือชาที่มักเกิดขึ้นชั่วคราว และสามารถดีขึ้นได้เองเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดจากเลือดไหลเวียนไม่สะดวก แต่เมื่อไหร่ที่อาการชามือเริ่มเกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอันตรายที่ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้งอย่างมั่นใจ
Key Takeaways
- อาการมือชาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาการชาจากเส้นประสาทถูกกดทับ หรืออาการชาจากความผิดปกติทางระบบประสาท ที่อาจมีปัจจัยจากพฤติกรรมและโรคบางชนิด
- กลุ่มเสี่ยงควรระวังเป็นพิเศษ เช่น ผู้ที่ใช้มือทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ขาดวิตามินบี
- อาการมือชาอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและไม่เป็นอันตราย แต่หากมือชารุนแรง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาโดยเร็ว
- มือชาสามารถรักษาได้ด้วยยาทาน การฉีดยา การกายภาพบำบัด และการผ่าตัด ทั้งนี้การเลือกวิธีรักษามือชาขึ้นอยู่กับความรุนแรง และสาเหตุที่แท้จริงของอาการมือชา
อาการมือชาเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?

อาการมือชาอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
อาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงตามมือช่วยให้เกิดความรู้สึกและควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อใดที่เส้นประสาทดังกล่าวถูกกดทับซ้ำๆ นานๆเส้นประสาทจะขาดเลือดและออกซิเจนมาเลี้ยงจนทำให้เส้นประสาทเริ่มทำงานบกพร่อง จึงทำให้เกิดอาการปวดชา อ่อนแรง ไร้ความรู้สึกในบริเวณที่เส้นประสาท นั้นๆไปเลี้ยง ซึ่งโรคหรือกลุ่มอาการที่อาจเป็นสาเหตุของอาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับมีดังนี้
- เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome) เกิดจากปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ บวมหนาตัวขึ้น จนทำให้เส้นประสาทที่อยู่ในบริเวณใกล้กันถูกกดทับ พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้งานข้อมือหนักเป็นเวลานาน
- เส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ (Cubital Tunnel Syndrome) เส้นประสาท Ulnar ที่พาดผ่านข้อศอกมายังนิ้วก้อยและครึ่งหนึ่งของนิ้วนางถูกกดทับบริเวณข้อศอก พบได้บ่อยในผู้ที่อยู่ในอิริยาบถงอข้อศอก หรือเท้าแขนบ่อย ๆ
- หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc) เกิดจากเส้นประสาทไขสันหลังที่ลากผ่านบริเวณกระดูกสันหลังถูกหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับ ทำให้เกิดอาการชามือหรือขา ซึ่งขึ้นกับตำแหน่งที่เส้นประสาทนั้นๆไปเลี้ยง
- โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) เป็นความผิดปกติที่ทำให้ช่องโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบลงจนทำเส้นเส้นประสาทไขสันหลังถูกกดทับ
อาการชาที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาท
สมองและไขสันหลังเป็นส่วนสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง ทำหน้าที่รับข้อมูล ประมวลผล และส่งคำสั่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ผ่านเส้นประสาท หากเกิดความผิดปกติขึ้น อาจทำให้การควบคุมการทำงานของอวัยวะบางส่วนผิดไป หรือสูญเสียความสามารถในการรับรู้และสั่งการในบริเวณนั้น เป็นผลให้อาจเกิดอาการชาหรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ตามมา ซึ่งโรคหรือกลุ่มอาการที่อาจเป็นสาเหตุของอาการชาที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทมีดังนี้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดได้จากทั้งภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ซึ่งส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองหยุดชะงัก เซลล์สมองจึงได้รับความเสียหาย หากความผิดปกติเกิดในบริเวณที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมือ อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการมือชา หรืออ่อนแรงได้
- ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy) เกิดจากเส้นประสาทส่วนปลายทำงานผิดปกติ หรือเสียหาย ซึ่งมีหลายปัจจัยที่สามารถทำให้ปลายประสาทอักเสบ เช่น พันธุกรรม โรคเบาหวาน โรคไต โรคระบบภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อ การขาดวิตามิน รวมไปถึงผลข้างเคียงของยาบางชนิด
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เกิดจากเซลล์ประสาทเสื่อมสภาพหรือระบบภูมิคุ้มทำงานผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตามปกติ ทำให้เกิดอาการมือชา อ่อนแรง
อาการชาที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ
นอกจากเส้นประสาทถูกกดทับและโรคทางระบบประสาท ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดอาการชามือได้ ยกตัวอย่างเช่น
- การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทและกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ
- ข้ออักเสบ การอักเสบของข้อและเนื้อเยื่อรอบข้างอาจทำให้เส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียงถูกกดทับ
กลุ่มเสี่ยงอาการมือชา รู้ตัวทัน ป้องกันได้เร็ว
อาการมือชาอาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนดังต่อไปนี้
- พนักงานออฟฟิศที่มักอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน เช่น ใช้มือพิมพ์งานหรือรับโทรศัพท์
- แม่บ้าน แม่ครัวที่ต้องใช้มือในการทำความสะอาดหรือทำอาหารอยู่เป็นประจำ
- อาชีพที่ต้องใช้มือหนัก ๆ ซ้ำ ๆ เช่น นักวาด ช่างทำผม งานที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์หรืองานฝีมือต่าง ๆ เป็นต้น
- กีฬาที่มีการใช้มือจับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เทนนิส แบดมินตัน เบสบอล เป็นต้น
- ผู้ที่ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ ไตเรื้อรัง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
อาการมือชาที่ควรรีบเข้าพบแพทย์
อาการมือชาอาจเป็นเพียงอาการทั่วไปที่แค่เปลี่ยนอิริยาบถก็สามารถหายเองได้ แต่เมื่อใดที่อาการชารุนแรง หรือมาพร้อมกับความผิดปกติอื่น ๆ ดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
- อาการมือชาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันหรือสัปดาห์
- อาการชาที่มาพร้อมกับอาการปวด
- อาการชาที่มาพร้อมกับอาการอ่อนแรง ไม่สามารถคุมการเคลื่อนไหวได้ตามปกติ
- อาการชาที่มาพร้อมกับมือเย็นหรือมือร้อนผิดปกติ
- อาการชาที่มาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น สูญเสียการทรงตัว เวียนหัว พูดไม่ชัด มองไม่เห็น
วิธีรักษาอาการมือชา

การรักษามือชาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ซึ่งจะมีแนวทางการรักษาดังต่อไปนี้
- การรักษาด้วยยา เช่น ยาลดการอักเสบของเส้นเอ็นและเส้นประสาท ยาคลายกล้ามเนื้อ
- การทำกายภาพบำบัด ให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ลดการกดทับของเส้นประสาท และลดการหดรั้งหรือเกิดพังผืดระหว่างเอ็น กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท
- การฉีดยาสเตียรอยด์ ช่วยลดอาการปวดอักเสบของเนื้อเยื่อที่กดทับเส้นประสาท
- การผ่าตัด ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล หรืออาการชาแย่ลงจนมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย ในโรคกลุ่มเส้นประสาทถูกกดทับซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
การป้องกันอาการมือชา
อาการมือชาสามารถป้องกันได้ เริ่มต้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตนเองดังนี้
- ไม่ใช้งานมือหนักเกินไป หากมีความจำเป็นควรมีการพักมือและใส่อุปกรณ์พยุง
- ไม่อยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน ควรมีการเปลี่ยนท่าทางบ้าง ไม่ให้เอ็นและกล้ามเนื้อหดเกร็งจนทับเส้นประสาท
- ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกระแทกอย่างรุนแรง เสี่ยงเส้นประสาทบาดเจ็บ
- รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินบีที่มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาท
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจทำลายระบบประสาทในระยะยาว
- ออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อ และทำกายภาพ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการบาดเจ็บได้
มีอาการมือชาอย่าปล่อยไว้ รีบตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลพระรามเก้า
แม้ว่าอาการมือชาจะเป็นอาการทั่วไปที่มีโอกาสพบได้บ่อยและสามารถหายได้เอง แต่หากอาการมือชามีความรุนแรงหรือเป็นบ่อยขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตรายที่ต้องรีบรักษาอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว
ศูนย์รักษ์ข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า เราให้ความใส่ใจกับทุกอาการเสี่ยง ไม่ปล่อยผ่านแม้อาการเพียงเล็กน้อย เพราะเราเชื่อว่าการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างทันท่วงทีคือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคร้าย และช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการมือชา
ทำไมนอนทับแขนนาน ๆ ถึงทำให้เกิดอาการมือชา?
การนอนทับแขนเป็นเวลานานทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก รวมทั้งยังทำให้เส้นประสาทที่แขนถูกกดทับ จึงเกิดอาการมือชาขึ้น เมื่อเปลี่ยนท่าทางแล้วอาการชาหายไปได้เอง หมายความว่าอาการเหล่านี้ไม่ร้ายแรงเพราะเป็นการกดทับเพียงชั่วคราว
พฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อการเกิดอาการมือชาหรือไม่?
การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดอาการมือชา เนื่องจากสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดรัดตัว เลือดจึงไหลเวียนไม่ดี และแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาท ซึ่งทั้งหมดนี้อาจทำให้เกิดอาการชาตามมือในระยะยาวได้
References
Numbness in Hands. (2023, August 8). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/symptoms/17824-numbness-in-hands
Mayo Clinic Staff. (2023, June 8). Numbness in hands. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/symptoms/numbness-in-hands/basics/causes/sym-20050842
Noe Pagán, C. (2025, March 11). Why Is Your Arm or Hand Numb? WebMD. https://www.webmd.com/a-to-z-guides/arm-hand-numb