ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ (ปวดหลัง อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด)
เชื่อว่าเรา ๆ ท่าน ๆ คงเคยมีอาการ “ปวดหลัง” บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย อาจจะมีอาการเป็นวัน หรือบางคนอาจมีอาการเป็นเดือน เช่น ปวดจากการทำงานหนัก มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการทำท่าทางซ้ำ ๆ ในท่าเดิม ๆ โดยทั่วไปเป็นอาการปวดหลังที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังพัก และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่อาการปวดที่รุนแรง หรือมีอาการนานเป็นเดือน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มักจะมาจากสาเหตุที่อันตรายและรุนแรง การปวดหลังลักษณะนี้ต้องรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรีบหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง
ปรึกษาอาการเบื้องต้นได้เลย เพื่อสุขภาพของคุณ
อาการปวดหลังมีกี่แบบ?
อาการปวดหลังแบ่งได้เป็น 3 แบบตามระยะเวลาคือ- ปวดแบบเฉียบพลัน (acute) คือ มีอาการปวดต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์
- ปวดแบบกึ่งเฉียบพลัน (subacute) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์
- ปวดแบบเรื้อรัง (chronic) คือ มีอาการปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์
อาการปวดหลังส่วนบน
อาการปวดหลังส่วนบนมักเกิดร่วมกับอาการปวดคอ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างวันเช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการก้มเล่นมือถือนาน ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคออฟฟิต โดรม อาการปวดหลังส่วนบนนี้ อาจพบได้ในโรคของกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกคอ หรือข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ ที่ทำให้เกิดอาการปวดคอร่วมกับอาการปวดหลังส่วนบน
อ่านเพิ่มเติม อาการออฟฟิศซินโดรม: https://www.praram9.com/officesyndrome/
อาการปวดหลังช่วงเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง
อาการปวดหลังระดับเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) เป็นอาการปวดที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางออร์โธปิดิกส์หรือโรคทางกระดูกและข้อ
สาเหตุเกิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ จากกล้ามเนื้อหลัง หมอนรองกระดูกสันหลัง และจากข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวต่ำกว่าขอบของซี่โครงซี่ล่างสุด จนถึงบริเวณสะโพกและก้น มีอาการมากขึ้นหรือลดลงสัมพันธ์กับท่าทางการเคลื่อนไหว หรือการทำงาน หรืออาจปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับท่าทาง บางรายอาจมีอาการปวดกลางคืนมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ทั้งนี้ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคนั้น ๆ
** เช็กให้ชัวร์ว่าปวดบริเวณไหน? >> แนะนำแพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการปวด หลัง บ่า ไหล่
อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือด้านขวา
อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือปวดหลังด้านขวา มักมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ ข้อต่อกระดูกส่วนอก หรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ อุบัติเหตุ การกระแทก การเกร็งหรือยกของหนัก และสาเหตุอื่น ๆ เช่น แน่นหน้าอกจากสาเหตุทางโรคหัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก กรดไหลย้อน เยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคไต นิ่วในไต หรือปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
อาการปวดหลังแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์
อาการปวดหลังที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ ได้แก่อาการปวดหลังที่เป็นอยู่นาน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมักมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรังนานมากกว่า 3 เดือน (chronic low back pain)
- มีอาการปวดรุนแรง พักหรือรับประทานยาแก้ปวดพื้นฐานแล้วไม่ดีขึ้น จนไม่สามารถทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
- ปวดร้าวลงมาต้นขา ขาหรือ ลงไปปลายเท้า ข้างใดข้างนึงหรือทั้ง 2 ข้าง
- มีความรู้สึกที่ผิดปกติเช่น ชาขา เท้าหรือมีอาการแสบร้อน มีการอ่อนแรงของขา
- ไม่สามารถนั่งหรือยืนเดินนานได้ ร่วมกับปวดร้าวลงขา
อาการเหล่านี้ มักมีสาเหตุมาจาก หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง หรือโพรงประสาทหลัง ไปเบียดหรือกดทับรากประสาทที่ลงมาขา จึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน อีกหนึ่งอาการของโรคของกระดูกสันหลังที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุคือ โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ
โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ (spinal stenosis) เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมาก เกิดจากความเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง (หมอนรองกระดูกเป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อกระดูกสันหลัง) ทำให้โพรงประสาทแคบลงจนไปเบียดรากประสาทหรือเบียดไขสันหลังซึ่งพบบ่อยมากที่ข้อกระดูกสันหลังระดับเอว
อาการของโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ
ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหลังส่วนล่างร้าวลงมาสะโพก มีอาการร้าวลงมาขาข้างนึงหรือสองข้าง บางครั้งมีอาการปวดร้าวลงไปปลายเท้า อาการจะเป็นมากขณะยืนหรือเดินเป็นเวลานาน บางครั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงขา ร่วมด้วย ต้องก้มตัว นั่งพัก บางคนต้องนั่งยอง ๆ เพื่อให้อาการดีขึ้นจนสามารถยืนและเดินต่อได้ อาการมักค่อยเป็นค่อยไป จนมากขึ้นจนทำให้ไม่สามารถยืนหรือเดินนานได้
ตรวจร่างกายมักจะพบ หลังช่วงเอวแอ่นน้อย ๆ หรือมีหลังค่อม ขยับหลังแล้วปวดร้าวลงขา ร่วมกับตรวจพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงด้วยรากประสาทนั้น ๆ หรือความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น ชาหน้าแข้ง หรือหลังเท้า
การตรวจวินิจฉัยโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ
การวินิจฉัยมักใช้การถ่ายภาพรังสี จะพบความเสื่อมของหมอนรองกระดูกเอว ข้อต่อกระดูกสันหลัง บางครั้งพบความผิดรูปของข้อต่อ เช่น หลังคด (scoliosis) กระดูกเคลื่อน (spondylolisthesis) แพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยขยับตัวขณะถ่ายภาพเอกซเรย์ (motion film) เพื่อประเมินความไม่มั่นคงของข้อต่อกระดูกสันหลัง
แพทย์อาจแนะนำการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินตำแหน่งที่รากประสาทถูกกดทับ ความเสื่อมหมอนรองกระดูกตลอดจนระดับความรุนแรงของการตีบของโพรงประสาท
การรักษาโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ
เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ หรือการใช้งานข้อต่อกระดูกสันหลังมากเป็นเวลานาน การลดการใช้งาน หลีกเลี่ยงท่าทางที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น งดการยืนเดินเป็นเวลานาน ทำการฟื้นฟู รวมทั้งกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด ปรับท่าทางการใช้งานหลังให้ถูกต้อง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สำคัญ ร่วมกับการรับประทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลาหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้อาการหายไปได้
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการอ่อนแรงขามากจนเดินยืนไม่ได้ อาการปวดรุนแรงไม่ดีขึ้นจากการทานยา มีความไม่มั่นคงของข้อต่อหลัง หรือมีอาการผิดปกติของการขับถ่าย เช่น กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ตลอดจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: ศูนย์กระดูกสันหลัง (Advanced Spine Center) รพ.พระรามเก้า
สรุป
เราทุกคนคงเคยปวดหลัง จึงอาจคิดว่าอาการปวดหลังเป็นเรื่องปกติที่เป็นกันได้ และหายเองได้ บางคนใช้วิธีหายาแก้ปวดมารับประทานเพื่อให้อาการดีขึ้น แต่หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดรุนแรง มีปวดร้าวไปที่ขาหรือเท้า มีอาการแสบร้อนหรือยืนหรือเดินไม่ได้ อาการเหล่านี้ คงไม่ใช่แค่อาการปวดหลังธรรมดา เพราะอาการปวดหลังนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติหรือโรคต่าง ๆ ดังนั้นจำเป็นต้องรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง