บทความสุขภาพ

Knowledge

ปวดข้อเท้าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรไม่ให้เจ็บเรื้อรัง?

นพ. ทรงวุฒิ ฐิติบุญสุวรรณ

ข้อเท้าเป็นหนึ่งในข้อต่อที่ถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือยืนล้วนต้องอาศัยข้อเท้าในการเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้ ข้อเท้าจึงเป็นจุดที่มีโอกาสเกิดอาการปวดหรือบาดเจ็บได้ง่าย และเมื่อเกิดอาการเจ็บขึ้นมา ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หรือดูแลตัวเองไม่ถูกวิธี อาการปวดข้อเท้าอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้


บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเจ็บข้อเท้า ตั้งแต่สาเหตุ วิธีรักษา ไปจนถึงแนวทางป้องกัน เพื่อช่วยให้คุณดูแลข้อเท้าให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต


Key Takeaways


  • อาการปวดข้อเท้า เป็นภาวะที่พบได้บ่อย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้งานมากเกินไป การบาดเจ็บ อุบัติเหตุ โรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบ หรือภาวะอื่นที่ส่งผลต่อโครงสร้างข้อเท้า
  • อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
  • การรักษาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การดูแลป้องกันและใส่ใจสุขภาพข้อเท้าในระยะยาวมีความสำคัญ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำและลดความเสี่ยงของอาการเรื้อรัง

ปวดข้อเท้าอาการเป็นอย่างไร? ใครบ้างที่เสี่ยง?


ปวดข้อเท้าเกิดได้จากความผิดปกติหรือการบาดเจ็บของโครงสร้างต่าง ๆ รอบข้อเท้า เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้ออ่อน เส้นประสาท หรือแม้แต่หลอดเลือด อาการที่พบได้มักมีลักษณะตั้งแต่ปวดเล็กน้อย ไปจนถึงปวดมากจนไม่สามารถลงน้ำหนักหรือเคลื่อนไหวได้ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่


  • ข้อเท้าบวม อักเสบ หรือมีรอยช้ำ
  • เจ็บแปลบ ๆ หรือรู้สึกปวดจี๊ดเมื่อลงน้ำหนัก
  • ปวดมากเมื่อยืนเขย่ง หรือใช้เท้าเคลื่อนไหว
  • ข้อเท้ามีเสียงดังกรอบแกรบ ร่วมกับความรู้สึกปวดในข้อเมื่อขยับข้อเท้า
  • เคลื่อนไหวข้อเท้าไม่ได้ตามปกติ โดยเฉพาะเมื่อกระดก บิด พลิกข้อเท้า
  • ข้อเท้าดูผิดรูป หรือมีแผลเปิด
  • มีอาการชา หรือเสียวแปลบ ซึ่งอาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
  • รู้สึกตึงแข็งบริเวณข้อเท้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอนหรือหลังอยู่นิ่งนาน ๆ
  • มีอาการร่วมจากโรคข้อ เช่น ปวดแบบมีไข้ หรือข้อบวมแดงร้อน

​​กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการเจ็บข้อเท้ามากกว่าปกติ ได้แก่


  • นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง กระโดด เตะลูกบอล หรือเล่นกีฬาเปลี่ยนทิศทางบ่อย ๆ เสี่ยงต่อข้อแพลงหรือเอ็นฉีก
  • คนที่ใช้งานข้อเท้าอย่างหนักต่อเนื่อง เช่น ยืนนาน เดินบนพื้นเอียง หรือต้องแบกของหนัก
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่ามาตรฐาน ซึ่งเพิ่มแรงกดที่ข้อเท้า ทำให้เสื่อมหรือบาดเจ็บง่ายขึ้น
  • ผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีปัญหาข้อเสื่อม กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือการทรงตัวลดลง เสี่ยงต่อการหกล้ม
  • ผู้ที่เคยมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าในอดีต เช่น กระดูกหัก เอ็นฉีก หรือข้อแพลงเรื้อรัง อาจมีพังผืดหรือข้อเสื่อมตามมา
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อข้อต่อ เช่น:

      ๏  โรคเกาต์ (Gout): มีการสะสมผลึกกรดยูริกในข้อ ทำให้ปวด บวม และร้อน
      ๏  ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis): ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อในข้อ ส่งผลให้ข้อเท้าอักเสบเรื้อรัง
      ๏  ข้อเสื่อม (Osteoarthritis): ข้อเท้าเสื่อมจากการใช้งานนานปี ทำให้ปวดตึงหรือฝืด

  • ผู้ที่ใส่รองเท้าไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าส้นสูง พื้นแบนเกินไป หรือไม่มี support

อาการปวดข้อเท้าแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์?


แม้อาการปวดข้อเท้าส่วนใหญ่สามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนหรือดูแลเบื้องต้น แต่ในบางกรณีอาจมีสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะรุนแรงที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน หรือมีอาการรุนแรงตั้งแต่แรก ควรรีบพบแพทย์ทันที หากพบอาการต่อไปนี้:


  • สงสัยกระดูกหัก: ไม่สามารถขยับหรือรับน้ำหนักที่ข้อเท้าได้เลย ร่วมกับอาการบวมผิดปกติหรือข้อเท้าผิดรูป
  • ข้ออักเสบรุนแรง: เจ็บข้อเท้านาน อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน แม้จะพักหรือประคบเย็นแล้วก็ตาม
  • สงสัยติดเชื้อในข้อ: ปวดข้อร่วมกับบวม แดง ร้อน มีไข้ และกดแล้วเจ็บมาก อาจเป็นภาวะฉุกเฉิน
  • รู้สึกชา หรือมีอาการเสียวแปลบร่วมกับปวด: อาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับหรือบาดเจ็บ
  • มีเสียง “ป๊อก” หรือ “กรอบแกรบ” ขณะบาดเจ็บ: อาจเป็นสัญญาณของเอ็นฉีกหรือกระดูกหัก
  • มีแผลเปิดบริเวณข้อเท้า: เสี่ยงติดเชื้อหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
  • ข้อเท้าอ่อนแรงหรือขยับไม่ได้เลย: อาจเกิดจากการบาดเจ็บของเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ

หากมีอาการเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการฝืนใช้งานข้อเท้า และรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม


ปวดข้อเท้ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง?


ปวดข้อเท้า สาเหตุ

อาการปวดข้อเท้าอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ได้จำกัดเฉพาะการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียว โดยสามารถแบ่งสาเหตุออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่:


1. การบาดเจ็บเฉียบพลัน (Acute Injury)


  • ข้อเท้าแพลง (Ankle sprain): สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการบิด พลิก หรือเหยียบผิดท่า ทำให้เส้นเอ็นฉีกขาดบางส่วน
  • กระดูกหัก (Fracture): เช่น กระดูกข้อเท้า หรือกระดูกฝ่าเท้าแตกร้าวจากการหกล้ม กระแทกรุนแรง หรืออุบัติเหตุ
  • เอ็นฉีก หรือกล้ามเนื้อฉีกขาด: จากการเคลื่อนไหวรุนแรง เช่น วิ่งเร็ว พุ่งตัว หรือกระโดดแล้วลงผิดท่า

2. การใช้งานมากเกินไป (Overuse Injuries)


  • เอ็นอักเสบ (Tendonitis): เช่น เอ็นร้อยหวายอักเสบ จากการวิ่งหรือเดินมากเกินไป โดยไม่มีการยืดเหยียดที่เพียงพอ
  • ปวดจากกล้ามเนื้อหรือพังผืดอักเสบ: เช่น ภาวะ plantar fasciitis ที่มักทำให้เจ็บส้นเท้า ลามมาข้อเท้าได้
  • การบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำๆ (Repetitive stress): เช่น คนที่ยืนนาน วิ่งทุกวัน หรือต้องเดินขึ้นลงบ่อย ๆ

3. โรคหรือภาวะทางการแพทย์ (Medical Conditions)


  • โรคข้ออักเสบ (Arthritis): เช่น

      ๏  ข้อเสื่อม (Osteoarthritis): เกิดจากการเสื่อมสภาพของข้อต่อเมื่ออายุมากขึ้น
      ๏  ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis): ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเยื่อบุข้อ ส่งผลให้ข้อเท้าอักเสบเรื้อรัง
      ๏  โรคเกาต์ (Gout): เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริก ทำให้ปวดบวมเฉียบพลันโดยเฉพาะกลางคืน

  • เส้นประสาทถูกกดทับ (Nerve compression): เช่น ภาวะ tarsal tunnel syndrome
  • การติดเชื้อที่ข้อเท้า (Infection): เช่น ข้ออักเสบติดเชื้อ (septic arthritis) ซึ่งพบได้น้อยแต่รุนแรง
  • ความผิดปกติทางโครงสร้าง: เช่น เท้าแบน หรือแนวกระดูกเท้าผิดปกติ ส่งผลต่อการลงน้ำหนักและทำให้ปวดข้อเท้าเรื้อรัง

เมื่อปวดข้อเท้า แพทย์จะวินิจฉัยอาการอย่างไร?


เมื่อคุณเข้าพบแพทย์ด้วยอาการปวดข้อเท้า ขั้นตอนแรกที่แพทย์จะทำคือการ ซักประวัติโดยละเอียด เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยมักจะสอบถามเรื่องต่อไปนี้:


  • ลักษณะของอาการปวด เช่น ปวดแปลบ ปวดตื้อ ปวดเมื่อขยับ หรือปวดแม้ไม่ได้เคลื่อนไหว
  • ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ และความรุนแรง
  • เหตุการณ์ที่อาจกระตุ้นให้ปวด เช่น การพลิกเท้า ลื่นล้ม หรือใช้งานข้อเท้าอย่างหนัก
  • โรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือเบาหวาน
  • การใช้ยา หรือประวัติการรักษาและผ่าตัดข้อเท้าในอดีต

จากนั้นแพทย์จะทำการ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเน้นที่ข้อเท้า เพื่อหาความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวด เช่น:


  • คลำบริเวณข้อเท้า: เพื่อตรวจดูจุดกดเจ็บ อาการบวม แดง ร้อน รอยช้ำ อาการชา หรือชีพจรบริเวณเท้า
  • ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อเท้า: ทดสอบว่าขยับได้มากน้อยเพียงใด และมีเสียงผิดปกติหรือไม่
  • การทดสอบเฉพาะทาง (special tests): เช่น ทดสอบความมั่นคงของข้อเท้า ความแข็งแรงของเส้นเอ็น หรือจุดกดของเส้นประสาท เพื่อหาสาเหตุที่อาจซ่อนอยู่

หากยังไม่สามารถระบุสาเหตุของอาการได้แน่ชัด แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจทางภาพเพิ่มเติม เช่น:


  • เอกซเรย์ (X-ray): ตรวจหากระดูกหักหรือข้อเคลื่อน
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan): เหมาะสำหรับดูรายละเอียดของกระดูกในมุมมองสามมิติ
  • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): ใช้ตรวจดูรายละเอียดของเอ็น กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนรอบข้อเท้าอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับกรณีที่สงสัยว่ามี เอ็นฉีกขาด, กล้ามเนื้ออักเสบ, การติดเชื้อในข้อหรือเนื้อเยื่อรอบข้าง, หรือแม้แต่ ก้อนเนื้อหรือเนื้องอก ที่อาจกดทับเส้นประสาทหรือโครงสร้างอื่น ๆ ในข้อเท้า ซึ่งการตรวจด้วยเอกซเรย์ทั่วไปมักไม่สามารถเห็นได้
  • อัลตราซาวด์ (Ultrasound): ใช้ตรวจการอักเสบของเส้นเอ็นหรือถุงน้ำรอบข้อเท้าแบบ real-time

ในกรณีที่สงสัยว่าอาการปวดอาจเกิดจาก ปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท แพทย์อาจแนะนำการตรวจระบบประสาทเพิ่มเติม เช่น:


  • การตรวจการนำกระแสประสาท (NCS – Nerve Conduction Study): เพื่อตรวจว่าเส้นประสาทนำสัญญาณได้ดีหรือไม่
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG – Electromyography): เพื่อตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อว่าได้รับผลกระทบจากเส้นประสาทหรือไม่

กระบวนการวินิจฉัยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อหาสาเหตุของอาการปวดข้อเท้าอย่างแม่นยำ เพื่อให้สามารถรักษาได้ตรงจุด ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ และลดความเสี่ยงของการกลายเป็นอาการเรื้อรังในอนาคต


ปวดข้อเท้า มีวิธีการรักษาอย่างไรให้ดีขึ้น?


ปวดข้อเท้า เจ็บข้อเท้า วิธีรักษา

การรักษาอาการปวดข้อเท้าขึ้นอยู่กับ “สาเหตุ” และ “ความรุนแรง” ของอาการ โดยแพทย์จะวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละราย อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่รุนแรง สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้านได้ ดังนี้:


  • การพักข้อเท้า (Rest) หลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักหรือทำกิจกรรมที่กระทบกระเทือนข้อเท้าชั่วคราว เช่น งดเดินไกล วิ่ง หรือออกกำลังกายที่ใช้เท้า
  • ประคบเย็น (Ice) ใช้เจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณข้อเท้าที่บวมหรือเจ็บ วันละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 15–20 นาที เพื่อช่วยลดอาการปวด บวมและอักเสบ
  • การพันผ้ายืดหรือใส่อุปกรณ์พยุงข้อ (Compression & Support) ช่วยพยุงข้อเท้าไม่ให้เคลื่อนไหวมากเกินไป และลดอาการบวม แต่ควรพันให้พอดี ไม่แน่นจนเลือดไหลเวียนไม่สะดวก หรือรู้สึกชา
  • การยกขาสูง (Elevation) หากข้อเท้าบวม ให้ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจเมื่อพัก เช่น วางบนหมอน 1–2 ใบขณะนอน หรือนำเก้าอี้อีกตัวมารองเท้าขณะนั่ง
  • การใช้ยา ยาบรรเทาปวด เช่น พาราเซตามอล ยาแก้ปวดลดอักเสบกลุ่มที่ไม่ใ่ช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน(ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร) ยาควบคุมโรคข้ออักเสบ หากปวดจากโรคประจำตัว เช่น เกาต์ หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์

ควรพบแพทย์ทันที หากมีอาการเหล่านี้:


  • ปวดมาก
  • เดินลงน้ำหนักไม่ได้
  • บวมมาก
  • เท้าชา
  • สีผิวบริเวณเท้าผิดปกติ
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วันหลังดูแลเบื้องต้น

แนวทางการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติม


1. อุปกรณ์ช่วยประคองและฟื้นฟูข้อเท้า


  • ใส่เฝือกหรืออุปกรณ์พยุงข้อเท้า: ช่วยประคองข้อเท้าให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ลดการเคลื่อนไหวและแรงกดในขณะฟื้นตัว
  • อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัด: เช่น

      ๏  อัลตราซาวด์ (Ultrasound): กระตุ้นการไหลเวียนและลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ
      ๏  เลเซอร์ (Laser therapy): ใช้พลังงานแสงช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นการซ่อมแซม
      ๏  ช็อกเวฟ (Shockwave therapy): คลื่นกระแทกความถี่สูงที่ช่วยลดอาการเรื้อรัง เช่น เอ็นอักเสบหรือพังผืด

2. การใช้ยาและหัตถการเฉพาะทาง


  • การปรับยา: เช่น เปลี่ยนขนาดยา หรือเพิ่มยาควบคุมอาการสำหรับผู้ที่มีโรคข้ออักเสบเรื้อรัง
  • การฉีดยาเฉพาะจุด: เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบในบริเวณที่มีการบวมหรือปวดมาก
  • การให้ยาปฏิชีวนะ: สำหรับกรณีที่สงสัยหรือยืนยันว่ามีการติดเชื้อในข้อเท้า

3. หัตถการและการฟื้นฟู


  • การดูดของเหลวในข้อ (Joint Aspiration): สอดเข็มเพื่อดูดน้ำในข้อออก ช่วยลดบวม และนำของเหลวไปตรวจวินิจฉัย เช่น การติดเชื้อหรือโรคเกาต์
  • การบริหารและกายภาพบำบัด (Physical Therapy): เช่น ฝึกกล้ามเนื้อ ยืดเหยียดข้อเท้า หรือฝึกทรงตัว เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและการเคลื่อนไหวของข้อ

4. การผ่าตัด (Surgery)


การผ่าตัดอาจจำเป็นในกรณีที่อาการปวดข้อเท้ามีสาเหตุจากภาวะที่รุนแรง หรือซับซ้อน ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีทั่วไป โดยตัวอย่างภาวะที่อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่:


  • กระดูกข้อเท้าหัก หรือข้อเคลื่อน
  • การบาดเจ็บที่กระดูกอ่อนภายในข้อเท้า
  • เส้นเอ็นฉีกขาดรุนแรง ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • ข้อเท้าผิดรูป เช่น จากอุบัติเหตุหรือจากเบาหวาน
  • ข้ออักเสบรุนแรง เช่น โรคข้อเสื่อมระยะท้าย หรือข้ออักเสบเรื้อรังที่ควบคุมด้วยยาไม่สำเร็จ
  • การติดเชื้อภายในข้อ ที่ไม่ดีขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • ภาวะเส้นประสาทถูกกดทับ ซึ่งทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือปวดลามลงเท้า
  • เนื้องอกบริเวณข้อเท้า หรือเนื้อเยื่อรอบข้อ ที่กระทบต่อการเคลื่อนไหว หรือมีความเสี่ยงทางพยาธิวิทยา (เช่น มีแนวโน้มเป็นมะเร็ง)

ระยะเวลาในการฟื้นตัว


  • ผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยอาจหายภายในไม่กี่วัน
  • กรณีที่รุนแรงอาจใช้เวลาฟื้นตัวเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน
  • แม้หายดีแล้ว ข้อเท้าอาจยังไม่กลับมาแข็งแรงเต็มที่ในทันที จึงควรฟื้นฟูร่างกายและหลีกเลี่ยงการใช้งานหนักเกินไปในช่วงพักฟื้น

วิธีดูแลข้อเท้าไม่ให้กลับมาเจ็บซ้ำ


  • เลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน
  • ฝึกและบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเท้าให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่ข้อเท้ายังฟื้นตัวไม่เต็มที่

ปวดข้อเท้า มีวิธีการป้องกันอย่างไรไม่ให้เรื้อรัง?


เจ็บข้อเท้า

แม้การรักษาอาการปวดข้อเท้าจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ในระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การป้องกันไม่ให้ข้อเท้าเจ็บซ้ำ หรือพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังในระยะยาว เพราะข้อเท้าเป็นข้อต่อที่เราใช้งานเกือบตลอดเวลา หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี อาจบาดเจ็บซ้ำ ๆ และฟื้นตัวยากขึ้นเรื่อย ๆ


คุณสามารถเริ่มต้นดูแลข้อเท้าได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีเหล่านี้:


  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังออกกำลังกาย: เพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดบนข้อเท้า และเร่งให้เกิดความเสื่อมเร็วขึ้น
  • เลือกใส่รองเท้าให้เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง หรือรองเท้าคับเกินไปที่อาจทำให้เสียการทรงตัวและข้อเท้าแพลง
  • อย่าฝืนใช้งานข้อเท้าขณะบาดเจ็บ: หากรู้สึกเจ็บข้อเท้า ควรพัก หยุดเล่นกีฬา หรือเลี่ยงกิจกรรมหนัก ๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
  • ใช้อุปกรณ์พยุงข้อเท้าเมื่อต้องทำกิจกรรมหนัก: เช่น ผ้ายืด เฝือกลม หรือ ankle support เพื่อช่วยลดแรงกระแทกและการเคลื่อนไหวเกินจำเป็น
  • ให้ร่างกายได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ: โดยเฉพาะหลังทำกิจกรรมที่ใช้ข้อเท้าหนัก เช่น เดินไกล วิ่ง หรือยืนนาน ควรยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ และยกเท้าสูงในช่วงพัก

การดูแลข้อเท้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของอาการเรื้อรัง แต่ยังช่วยให้ข้อเท้าแข็งแรง พร้อมใช้งานในระยะยาวได้อย่างปลอดภัย


ท้ายที่สุดแล้ว อาการปวดข้อเท้ารักษาให้ดีขึ้นได้ไหม?


คำตอบคือ ได้ — อาการปวดข้อเท้าสามารถฟื้นตัวและกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หากได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ

อาการปวดข้อเท้าอาจเกิดจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เดิน วิ่ง หรือยืนในท่าทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งนำไปสู่การอักเสบ บวม หรือเส้นเอ็นบาดเจ็บ ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับสาเหตุ และพฤติกรรมการดูแลหลังจากบาดเจ็บ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการอาจลุกลามจนกลายเป็นเรื้อรัง

ด้วยแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง และการดูแลป้องกันไม่ให้ข้อเท้าเจ็บซ้ำ คุณสามารถฟื้นฟูข้อเท้าให้กลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงเดิม พร้อมลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บในอนาคต


หากคุณกำลังมองหาการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ


ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้บริการดูแลอาการปวดข้อเท้าอย่างครอบคลุม โดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านกระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น พร้อมเครื่องมือวินิจฉัยและรักษาที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล


เราพร้อมให้คำปรึกษา วางแผนการรักษา และดูแลคุณอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง


หากสนใจเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลพระรามเก้า สามารถติดต่อเราได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดข้อเท้า


อาการปวดข้อเท้าเรื้อรังอันตรายไหม?


อาจเป็นอันตรายได้ หากคุณปล่อยให้ปวดเรื้อรังหลายสัปดาห์โดยไม่เข้ารับการวินิจฉัยหรือรักษาอย่างจริงจัง เพราะอาจมีสาเหตุซ่อนอยู่ เช่น เส้นเอ็นฉีกขาด กระดูกร้าว หรือภาวะข้ออักเสบเรื้อรัง


แม้บางสาเหตุจะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่อาการปวดเรื้อรังอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เคลื่อนไหวลำบาก และบาดเจ็บซ้ำได้ง่าย ดังนั้น การพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รักษาได้ตรงจุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว


อยู่ดี ๆ ปวดข้อเท้า เกิดจากสาเหตุอะไร?


อาการปวดข้อเท้าเฉียบพลันที่เกิดขึ้นโดยไม่มีอุบัติเหตุชัดเจน อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น:


  • ข้อต่ออักเสบ (Arthritis) เช่น ข้อเสื่อม โรคเกาต์ หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • เส้นเอ็นอักเสบ (Tendinitis) มักเกิดจากการใช้งานข้อเท้าในท่าเดิมซ้ำ ๆ หรือออกแรงมากเกินไป เช่น วิ่งหนัก หรือยืนนาน
  • แรงกดหรือรับน้ำหนักมากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือใส่รองเท้าไม่เหมาะสม
  • บาดเจ็บเล็ก ๆ ที่ไม่ทันสังเกต เช่น ข้อเท้าเคล็ดเล็กน้อยจากการเดินพื้นเอียง

หากอาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน หรือมีอาการบวม ชา เดินลำบาก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม


ปวดข้อเท้านวดได้ไหม นวดอย่างไรดี?


การนวดข้อเท้าสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ในบางกรณี เช่น:


  • กล้ามเนื้อตึง
  • เส้นเอ็นเครียดเล็กน้อย
  • รู้สึกเมื่อยล้าจากการใช้งานต่อเนื่อง

วิธีนวดเบื้องต้น:


ใช้นิ้วมือกดและนวดวนเบา ๆ รอบข้อเท้า หลีกเลี่ยงการกดแรงหรือบริเวณที่มีอาการบวมมาก เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้


หากไม่แน่ใจว่าอาการปวดเกิดจากอะไร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนนวด เพื่อความปลอดภัย


References


Cleveland Clinic. (2024). Ankle Pain. Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/symptoms/15295-ankle-pain


David Walton and Brian M. Weatherford. (2024). Rheumatoid Arthritis of the Foot and Ankle. American Academy of Orthopaedic Surgeons. https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/rheumatoid-arthritis-of-the-foot-and-ankle


NHS Team. (2022). Ankle pain. National Health Service (NHS). https://www.nhs.uk/conditions/foot-pain/ankle-pain/

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ทรงวุฒิ  ฐิติบุญสุวรรณ

นพ. ทรงวุฒิ ฐิติบุญสุวรรณ

ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

หมอนรองกระดูกเสื่อม ต้นเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังที่อายุน้อยก็พบได้

หมอนรองกระดูกเสื่อมคือภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกจนไม่สามารถทำหน้าที่ลดแรงกระแทกได้ ทำให้กระดูกรอบ ๆ สึกและอักเสบขึ้นจนเกิดอาการปวดเรื้อรัง

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา อีกหนึ่งสัญญาณเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica pain) เกิดจากการถูกกดทับที่เส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดจากช่วงเอวหรือสะโพกร้าวลงขาด้านหลัง บางรายอาจร้าวไปถึงน่องและเท้าได้

คำแนะนำการป้องกันมาลาเรียสำหรับนักเดินทาง

โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัว Plasmodium นำโดยยุงก้นปล่อง มีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ สายพันธ์ุที่รุนแรงคือ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง อวัยวะต่างๆล้มเหลว ติดเชื้อขึ้นสมอง โคม่า ชัก และเสียชีวิตได้ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตแบบไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงานกะทันหัน ทำให้หมดสติและเสียชีวิตในไม่กี่นาที จึงเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรับการรักษาทันที

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital