บทความสุขภาพ

Knowledge

หัวใจโต สัญญาณเตือนโรคหัวใจ

โรคหัวใจถือเป็นโรคยอดฮิตโรคหนึ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า “หัวใจโต” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของหัวใจ และอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจที่รุนแรงได้ ดังนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะหัวใจโตและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


หัวใจโต คืออะไร?


หัวใจโต (cardiomegaly) เป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติกับโครงสร้างหัวใจ เป็นภาวะที่ตรวจพบได้ ซึ่งอาจตรวจพบตอนทำเอกซเรย์ทรวกอก การทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือจากการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ ภาวะนี้ไม่ใช่โรค เป็นภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่หรือหนาตัวขึ้น มักเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคอื่น ๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ จนนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นจึงนับได้ว่าภาวะหัวใจโตนี้เป็นสัญญาณหนึ่งของโรคหัวใจ


อาการของภาวะหัวใจโต


  • หายใจถี่ โดยเฉพาะเมื่อออกแรงหรือเมื่อนอนลง
  • เหนื่อยง่าย
  • ขาบวม
  • อ่อนเพลีย
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • วิงเวียน เป็นลม
  • ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง

อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏเสมอไป และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุของหัวใจโต บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ จนกว่าอาการจะรุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ


หัวใจโตเกิดจากอะไร?


ภาวะหัวใจโตเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุ ดังนี้


  1. โรคหัวใจขาดเลือด (coronary artery disease): เกิดจากการสะสมของคราบพลัคและไขมันในหลอดเลือดหัวใจ เกิดหลอดเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง หรือเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย จนหัวใจบีบตัวน้อยลง ทำให้เลือดเหลือค้างภายในหัวใจมากขึ้น ทำให้ห้องหัวใจมีการขยายตัวจนมีภาวะหัวใจโต
  2. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart defects): ความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจที่เกิดตั้งแต่กำเนิด ความผิดปกติเหล่านี้อาจทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ เกิดภาวะหัวใจโตได้
  3. โรคหัวใจล้มเหลว (heart failure): เป็นภาวะที่หัวใจทำงานแย่ลงจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ เกิดภาวะหัวใจโตได้
  4. โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiomyopathy): ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีขนาดและความหนาผิดปกติ
  5. โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease): การตีบและการรั่วของลิ้นหัวใจทำให้ทิศทางการไหลของเลือดในห้องหัวใจผิดปกติ ทำให้เลือดค้างอยู่ในห้องหัวใจ เกิดภาวะหัวใจโตได้
  6. มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion): ทำให้เมื่อเอกซเรย์ทรวงอก จะพบว่าหัวใจมีขนาดใหญ่ขึ้น
  7. ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension): ทำให้หัวใจห้องขวาทำงานหนักขึ้น เกิดภาวะหัวใจโตได้
  8. ความดันสูง (hypertension): เมื่อความดันสูง หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเอาชนะแรงดันในหลอดเลือดที่สูง เพื่อพยายามสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีการหนาตัว และโตขึ้น
  9. โรคไทรอยด์ (thyroid disease): ทั้งภาวะไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไป (hyperthyroidism) และภาวะขาดไทรอยด์ ทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้
  10. เบาหวาน (diabetes): โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมจะทำให้หลอดเลือดเสียหาย ซึ่งรวมถึงหลอดเลือดหัวใจ เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และหัวใจโตตามมาได้
  11. ภาวะโลหิตจาง (anemia): ซึ่งทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ไม่เพียงพอ หัวใจจึงต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้นเพื่อชดเชยออกซิเจนที่ลดลงในกระแสเลือด เกิดเป็นภาวะหัวใจโตได้
  12. โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ (cardiac amyloidosis): เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย เป็นโรคที่มีการสะสมโปรตีนอะไมลอยด์ที่หัวใจ ทำให้ผนังห้องหัวใจหนาตัวขึ้นอย่างถาวร ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  13. การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอและโตขึ้น
  14. การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ อาจทำให้หัวใจโตได้
  15. การตั้งครรภ์: (ในบางกรณี) ในระหว่างตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดในร่างกายจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ในบางกรณี หัวใจอาจขยายตัวและหนาตัวชั่วคราว
  16. การออกกำลังกาย: โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise) ในนักกีฬาบางคน หัวใจอาจจะขยายใหญ่ขึ้น จากการออกกำลังกายหนักและนานเป็นประจำ โดยทั่วไปภาวะหัวใจโตแบบนี้ไม่จัดเป็นโรคหรือภาวะที่อันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษา

ใครบ้างเสี่ยงต่อภาวะหัวใจโต


  • ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีโรคความดันสูง
  • ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ผู้ที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  • ผู้ที่มีไทรอยด์ผิดปกติ
  • ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง

การตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจโต


  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
  • การเอกซเรย์ทรวงอก
  • การทำอัลตราซาวนด์หัวใจ (echocardiogram)
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (cardiac MRI; CMR)
  • การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (cardiac CT scan)

การรักษาหัวใจโต


การรักษาภาวะหัวใจโตจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ โดยทั่วไปแล้วการรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดหัวใจโตและป้องกันไม่ให้หัวใจโตแย่ลง ซึ่งมีทั้งการรักษาด้วยยา และการผ่าตัดหรือทำหัตถการต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น หากภาวะหัวใจโตเกิดจากความสูง แพทย์อาจสั่งยาเพื่อลดความดัน หากภาวะหัวใจโตเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด แพทย์อาจแนะนำให้ทำการขยายหลอดเลือดหัวใจหรือผ่าตัดบายพาสหัวใจ ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น


การป้องกันภาวะหัวใจโต


เพื่อป้องกันภาวะหัวใจโตทำได้โดยการลดและป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ควรงดสูบและหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ และรีบรักษาอาการใด ๆ ที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจโต เช่น ความดันสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และคอเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้ ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัวหรือมีอายุมากกว่า 35 ปี ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ


สรุป


ภาวะหัวใจโตคือภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่กว่าปกติ เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวหรือห้องหัวใจขยายตัว ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุหลาย ๆ อย่าง การตรวจสุขภาพ และหมั่นสังเกตอาการ ว่ามีอาการที่เข้าได้กับอาการของภาวะหัวใจโตหรือไม่ ก็จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยที่อันตรายหรือภาวะที่รุนแรงได้


การดูแลสุขภาพร่างกายก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้รวมถึงภาวะหัวใจโตด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

อัมพาต คืออะไร? อาการเป็นแบบไหน? รวมข้อมูลที่ควรรู้

อัมพาต คือโรคที่สูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายบางส่วน ซึ่งจริง ๆ แล้วมีลักษณะอาการแบบไหน สามารถรักษาได้ไหม หรือมีข้อมูลที่ควรรู้อะไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้!

โรคช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม? รู้จักสาเหตุ อาการ และการรักษา

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) มีสาเหตุมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง หากไม่รับการรักษาอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

หมอนรองกระดูกเสื่อม ต้นเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังที่อายุน้อยก็พบได้

หมอนรองกระดูกเสื่อมคือภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกจนไม่สามารถทำหน้าที่ลดแรงกระแทกได้ ทำให้กระดูกรอบ ๆ สึกและอักเสบขึ้นจนเกิดอาการปวดเรื้อรัง

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา อีกหนึ่งสัญญาณเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica pain) เกิดจากการถูกกดทับที่เส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดจากช่วงเอวหรือสะโพกร้าวลงขาด้านหลัง บางรายอาจร้าวไปถึงน่องและเท้าได้

ปวดข้อเท้าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรไม่ให้เจ็บเรื้อรัง?

ทำความเข้าใจกับอาการปวดข้อเท้าที่ควรรู้ อาการแบบไหนที่ควรเข้าปรึกษาแพทย์? พร้อมเรียนรู้สาเหตุของอาการ วิธีรักษา ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เจ็บข้อเท้าเรื้อรัง

คำแนะนำการป้องกันมาลาเรียสำหรับนักเดินทาง

โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัว Plasmodium นำโดยยุงก้นปล่อง มีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ สายพันธ์ุที่รุนแรงคือ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง อวัยวะต่างๆล้มเหลว ติดเชื้อขึ้นสมอง โคม่า ชัก และเสียชีวิตได้ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital