บทความสุขภาพ

Knowledge

ดูแลเท้าให้ดี ประหนึ่งดูแลใบหน้า ช่วยลดความเสี่ยงจากเบาหวานลงเท้า

นพ. เอกสิทธิ์ วาณิชเจริญกุล, พญ. อารีสา มโนชญ์ปิติพงศ์

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมานาน หากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี จะส่งผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังตามมา ไม่ว่าจะเป็น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต ความดันโลหิตสูง และอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมาก ๆ นั่นก็คือ “เบาหวานลงเท้า”


อาการเบาหวานลงเท้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแผลเรื้อรังตามมา และอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น จนนำไปสู่การรักษาด้วยการตัดเท้าหรือตัดขาในที่สุด ดังนั้น หากเป็นโรคเบาหวานแล้ว เท้าจึงถือเป็นอีกหนึ่งอวัยวะสําคัญที่ต้องดูใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นแผลได้ง่ายและรักษายาก


อีกทั้งผู้ป่วยเบาหวานต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับการควบคุมระดับน้ำตาล รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนเรื้อรัง


บทความนี้จะเน้นกล่าวถึงสาเหตุและลักษณะของอาการเบาหวานลงเท้า รวมทั้งแนวทางการป้องกันและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง

เบาหวานลงเท้า คืออะไร


เบาหวานลงเท้า คือ ลักษณะอาการที่ปรากฏขึ้นที่เท้าหรือบริเวณขา เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่มาจากโรคเบาหวาน ได้แก่ เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและภาวะหลอดเลือดตีบ ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกที่บริเวณเท้าและยังเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าได้ง่าย หากมีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการตัดเท้าหรือตัดขาในที่สุด


diabetic-foot-1.jpg

สาเหตุของเบาหวานลงเท้า มีอะไรบ้าง


ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น ภาวะแทรกซ้อนฉับพลัน และภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง


(1) ภาวะแทรกซ้อนฉับพลัน มักเป็นการติดเชื้อรุนแรง ภาวะช็อคเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงเกินไป หรือบางรายอาจมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis หรือ DKA)


(2) ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานาน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้ว มักจะมาจากการที่หลอดเลือดแดงและระบบประสาทเสื่อมสภาพลง ได้แก่


1. หลอดเลือดแดงตีบหรือเสื่อม: เมื่อระดับน้ำตาลสูงเกินค่าปกติเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลให้เส้นเลือดแดงเกิดภาวะอักเสบ ตามมาด้วยอาการเปราะ ตีบ หรือฉีกขาดง่าย เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้ไม่เต็มที่


อวัยวะส่วนที่อยู่ไกลอย่างเช่น “เท้า” จึงเสี่ยงต่ออาการเนื้อเยื่อตายเพราะขาดเลือด นอกจากนี้ กลไกการต่อสู้กับเชื้อโรคบริเวณนั้นก็ทำได้แย่ลงด้วย ดังนั้น หากเกิดแผลขึ้นมา ก็มักจะหายช้ามาก แถมยังง่ายต่อการติดเชื้อจนทำให้มีอาการอักเสบรุนแรงขึ้นได้


2. เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม: เมื่อระบบประสาทส่วนปลายเริ่มเสื่อมสภาพลง ผู้ป่วยจะสูญเสียความรู้สึกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณปลายมือและปลายเท้า เกิดเป็นอาการเท้าชา ส่งผลให้เวลาที่เท้าสัมผัสถูกของมีคมหรือของร้อนจัด ผู้ป่วยจึงมักไม่ค่อยรู้ตัว ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดแผลขึ้นที่เท้าได้ง่าย ๆ


นอกจากนี้ ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ยังส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อบริเวณเท้าฝ่อลง เมื่อกล้ามเนื้อที่ประคับประคองเท้าไม่แข็งแรงเท่าเดิมแล้ว เท้าจึงอาจบิดผิดรูป ส่งผลให้ผู้ป่วยยืนหรือเดินแล้วลงน้ำหนักเท้าในบางตำแหน่งไม่เหมาะสม จนเกิดการกดทับเป็นแผลที่เท้าขึ้นมาได้


3. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม: ระบบประสาทอัตโนมัติ มีส่วนในการควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ หากเกิดการเสื่อมสภาพไป การปรับความสมดุลความชุ่มชื้นของผิวหนังก็จะเสียไปด้วย ส่งผลให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น โดยเฉพาะบริเวณเท้าทั้งสองข้าง ซึ่งก็จะแห้งแล้วปริแตกได้ง่าย ทำให้เกิดปัญหาแผลเรื้อรังตามมาได้นั่นเอง


แน่นอนว่าโรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเบาหวานลงเท้า อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดได้อีก เช่น อายุมาก การสูบบุหรี่ เล็บที่ผิดปกติ และรองเท้าที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น


จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ ในทางกลับกัน การปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสม ก็อาจมีผลกระตุ้นให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้นหรือรุนแรงยิ่งขึ้นได้เช่นกัน


diabetic-foot-2.jpg

วิธีสังเกตอาการ เบาหวานลงเท้า


ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรหมั่นสังเกตอาการเบื้องต้นของเบาหวานลงเท้าอยู่เสมอ ได้แก่อาการดังต่อไปนี้


  1. มีอาการชาหรือเป็นเหน็บที่เท้า ไล่จากปลายนิ้วเท้าขึ้นไปยังบริเวณหลังเท้าหรือขา โดยมักจะเป็นทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน
  2. มีอาการปวดแปล๊บคล้ายกับว่ามีไฟช็อตที่เท้าทั้ง 2 ข้าง
  3. ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเท้าร้อนวูบวาบ หรือปวดแสบปวดร้อนที่เท้า
  4. สีผิวบริเวณเท้าซีดลงหรือคล้ำขึ้นจนผิดสังเกต|
  5. ผิวหนังบริเวณเท้าทั้งสองข้างแห้ง บางคนอาจแห้งจนปริแตก
  6. ผิวหนังที่เท้าแข็งขึ้นมีลักษณะเป็นตาปลา
  7. รูปเท้าผิดไปจากปกติ หรือมีปุ่มกระดูกงอกโปนขึ้นมา

หากเป็นโรคเบาหวานอยู่ แล้วพบว่าตนเองมีอาการดังที่กล่าวมานี้ ควรรีบไปพบแพทย์


diabetic-foot-3.jpg

อาการเท้าบวม เกี่ยวข้องกับเบาหวานลงเท้าหรือไม่


เวลาเราได้ยินว่าใครมีอาการเท้าบวม เราก็มักจะนึกถึงอาการของคนที่เป็นโรคไตเป็นอันดับแรก ซึ่งที่จริงแล้ว อาการเท้าบวมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเอง ก็มีโอกาสที่จะแสดงอาการเท้าบวมได้เช่นเดียวกัน


ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการเท้าบวม มีสาเหตุมาจากการคั่งของของเหลวที่บริเวณเท้า เป็นผลมาจากระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไม่ดี นอกจากนี้ การกินอาหารเค็มมาก ๆ ก็มีส่วนในการทำให้อาการยิ่งแย่ลง แต่ละคนอาจมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป


แนวทางแก้ไข หากมีอาการบวมที่เท้า


การรักษาอาการให้ทุเลาลง ได้แก่ การใช้ถุงเท้ารัดกล้ามเนื้อ ที่ช่วยปรับความดันที่ขาและเท้าให้มีปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น แต่ต้องพยายามไม่ใช้ถุงเท้าที่บีบรัดมากจนเกินไป นอกจากนี้ การพยายามยกขาให้สูงขึ้น จะช่วยลดของเหลวสะสมที่บริเวณเท้าได้อีกด้วย


และควรลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากโรคเบาหวาน เช่น การลดพฤติกรรมการกินเค็ม การลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน การกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น โดยมีข้อแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมาก เช่น การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น


อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการบวมที่เท้า บางรายอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง


อะไรคืออาการ เท้าดำ ที่คนมักพูดกัน


คนที่มีอาการเบาหวานลงเท้านั้น มักจะมีอาการที่สังเกตได้หลายอย่างนำมาก่อน เช่น อาการชา อาการปวดแสบปวดร้อนที่เท้า อาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่ใช่ว่าจู่ ๆ เนื้อเยื่อจะตายอย่างเฉียบพลันแล้วจะต้องมีอาการเท้าดำ


สำหรับการตรวจวินิจฉัยอาการเบาหวานลงเท้า แพทย์จะใช้การตรวจสอบหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการสังเกตสีผิวและตรวจวัดอุณหภูมิของเท้า


โดยทั่วไป คนที่มีภาวะเบาหวานลงเท้าแล้วมีอาการอักเสบรุนแรง บริเวณเท้ามักจะมีสีผิวออกแดงและบวม ซึ่งแสดงถึงภาวะการอักเสบ


แต่หากพบว่าเท้ามีสีผิวที่เข้มขึ้นและเป็นมัน วัดอุณหภูมิได้ต่ำกว่าปกติ และคลำชีพจรได้เบา ก็มีโอกาสสูงว่าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนเท้าอาจเกิดการตีบตัน ซึ่งหากปล่อยไว้ เนื้อเยื่อบริเวณนั้นอาจตายได้ จุดไหนที่เนื้อเยื่อตาย บริเวณนั้นผิวก็จะดำและแห้งนั่นเอง


ลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ป้องกัน เบาหวานลงเท้า ตั้งแต่ต้นเหตุ


อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า เบาหวานลงเท้ามีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง การรักษาโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็มักได้ผลการรักษาที่ไม่ดีนัก


จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ยังไม่เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น หรือเริ่มมีโรคแทรกซ้อนขึ้นแล้วก็ตาม ให้พยายามควบคุมระดับความดันโลหิต รวมถึงระดับนํ้าตาลและระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามคำสั่งของแพทย์โดยเคร่งครัด รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูบบุหรี่ ควรเลิกอย่างเด็ดขาด


นอกจากนี้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มักให้ผลการรักษาที่ดีกว่า จึงควรเข้าพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามวันเวลาที่นัดไว้ เพื่อตรวจความเป็นไปของโรคและประเมินโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด


การดูแลเท้า และการตัดเล็บ เพื่อลดโอกาสเกิดแผลและการติดเชื้อที่เท้า


สำหรับผู้ที่เริ่มมีโรคแทรกซ้อนแล้ว ขอให้ทำการรักษาต่อไปตามคำสั่งแพทย์ โดยปฏิบัติร่วมกันกับข้อแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลและการติดเชื้อที่เท้า ดังนี้


ขั้นตอนการดูแลเท้าในเบื้องต้น ป้องกันปัญหาจากเบาหวานลงเท้า


  1. ทำความสะอาดเท้าและซอกนิ้วทุกวัน โดยใช้น้ำสะอาดและสบู่ที่มีฤทธิ์อ่อน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย (แนะนำให้เป็นตอนเช้าและก่อนนอน) หลังจากนั้น ให้เช็ดเท้าและซอกเท้าให้แห้งทันทีโดยใช้ผ้าสะอาดเช็ด อย่าปล่อยให้เท้าเปียกชื้น
  2. หากมีอาการผิวแห้ง ควรใช้ครีมทาบาง ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น แต่อย่าทาบริเวณซอกนิ้ว เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นได้
  3. ไม่เดินเท้าเปล่า ทั้งภายในบ้าน บริเวณรอบบ้าน และนอกบ้าน
  4. สวมถุงเท้าก่อนรองเท้าเสมอ เพื่อลดการเสียดสี โดยก่อนสวมรองเท้า ควรตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายใน แม้แต่เศษกรวดหินดินทรายเล็ก ๆ ก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองจนเป็นแผลได้
  5. ตรวจดูเท้าตัวเองเป็นประจำ สังเกตดูว่ามีอาการผิดปกติไหม เช่น ปวด บวม มีแผล รอยช้ำ ผิวเปลี่ยนสี หรือเม็ดพอง เป็นต้น ควรตรวจให้ทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า และซอกนิ้ว โดยอาจใช้กระจกส่องหากมองไม่เห็นหรือมองไม่ถนัด
  6. หากพบว่าเริ่มมีแผล หรือหนังด้านแข็ง มีตาปลา มีรอยแตก หรือการติดเชื้อรา ควรพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ควรตัดตาปลาออกด้วยตนเอง
  7. หากเป็นเล็บขบ ควรมาโรงพยาบาลทันที อย่าพยายามรักษาด้วยตัวเอง

diabetic-foot-5.jpg

ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องดูแลการตัดเล็บเป็นพิเศษ


สำหรับคนทั่วไป การตัดเล็บอาจเป็นแค่ขั้นตอน ๆ หนึ่งในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและเสี่ยงต่ออาการเบาหวานลงเท้านั้น การตัดเล็บเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องให้ความสนใจดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโอกาสเป็นแผลและติดเชื้อ


ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ หลังจากอาบน้ำ เราควรเลือกเวลาตัดเล็บหลังจากอาบน้ำเสร็จ เนื่องจากเล็บจะนิ่มและทำให้ตัดง่าย เพราะหากตัดเล็บช่วงเวลาปกติ เล็บจะแข็งแล้วต้องออกแรงมากขึ้น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้


วิธีการตัดเล็บที่ดี คือ ควรตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ให้เป็นเส้นตรงเสมอปลายกับนิ้วเท้า ไม่ควรตัดเล็บจนลึกมากหรือตัดจนโค้งเข้าจมูกเล็บ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเล็บขบได้


diabetic-foot-6.jpeg

ห้ามใช้อุปกรณ์แหย่ตามซอกเล็บเด็ดขาด เนื่องจากหลายคนอาจเคยชินกับการทำความสะอาดซอกเล็บโดยใช้เครื่องมือแหลม ๆ แหย่หรือแคะเข้าตามซอกเล็บหรือจมูกเล็บ ซึ่งเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากอาจจะเกิดการระคายเคืองหรือเกิดแผลติดเชื้อได้


การเลือกรองเท้า สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน


การเลือกสวมรองเท้าที่ถูกสุขลักษณะ จะช่วยป้องกันและลดโอกาสเกิดแผลบริเวณเท้าได้ มีหลักในการเลือกรองเท้าดังนี้


  1. เลือกรองเท้าที่มีขนาดพอดี เหมาะสมกับรูปเท้า และควรเผื่อหน้าเท้าให้ลึกและกว้างหน่อย
  2. เลือกรองเท้าทำจากวัสดุที่นุ่ม เช่น รองเท้าหนังชนิดนุ่ม
  3. แบบรองเท้าที่เลือก ควรเป็นแบบหุ้มส้น
  4. ควรเลือกรองเท้าที่สามารถปรับขนาดได้ด้วยเชือกหรือแถบตีนตุ๊กแก
  5. ไม่ควรใช้ รองเท้าแตะประเภทใช้นิ้วคีบ
  6. ไม่ควรใช้ รองเท้าที่คับหรือหลวมเกินไป
  7. ไม่ควรใช้ รองเท้าไม่ควรมีตะเข็บ ถ้าต้องมีจริง ๆ ควรเลือกที่มีตะเข็บให้น้อยเข้าไว้

หากเป็นไปได้ แนะนำว่าผู้ป่วยเบาหวานควรตัดรองเท้าที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะจะเหมาะสมที่สุด


จะเห็นได้ว่าการดูแลเท้ามีขั้นตอนและความสำคัญ ไม่แตกต่างจากการดูแลภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือเบาหวานลงไต ทั้งนี้ก็เพื่อลดโอกาสเกิดแผล ซึ่งจะตามมาด้วยเรื่องยุ่งยากจากอาการเบาหวานลงเท้าได้อีกมากมาย


สุดท้ายหมอขอฝากวลีที่หมอเคยได้ยินและชื่นชอบเป็นพิเศษที่ว่า


“ดูแลเท้าให้ดี เสมือนหนึ่งดูแลใบหน้า”

เข้ารับการตรวจเท้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


นอกจากวิธีดูแลเท้าด้วยตนเองแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจเท้าอย่างละเอียด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง กับแพทย์หรือบุคลาการทางการแพทย์ โดยแพทย์จะทำการตรวจเท้าเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยละเอียด ดังนี้


  1. ซักประวัติโรคเบาหวาน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ
  2. ตรวจเท้าทั่วทั้งเท้าเพื่อดูลักษณะภายนอก ว่ามีแผลเกิดขึ้นหรือไม่ ตรวจหาผิวหนังว่ามีเชื้อรา ตาปลา และการอักเสบหรือไม่ รวมทั้งตรวจดูลักษณะเล็บ และการผิดรูปของเท้า
  3. ตรวจการรับความรู้สึกบริเวณเท้า โดยการใช้ไนล่อนเส้นเล็ก เพื่อทดสอบการรับรู้ความรู้สึกของผิวหนัง (Monofilament test) หรือใช้ส้อมเสียง ทดสอบการรับรู้ของเส้นประสาทจากการสั่นสะเทือน (Tuning fork)
  4. ตรวจหาการตีบแคบของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเท้า โดยคลำชีพจรที่ตาตุ่มและหลังเท้า บางรายอาจมีความจำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Ankle-Brachial Index (ABI) ซึ่งเป็นเครื่องวัดความดันโลหิตจากแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้าง แล้วนำเปรียบเทียบกัน
  5. ประเมินความเหมาะสมของรองเท้าที่ผู้ป่วยสวมใส่

วิธีการตรวจต่าง ๆ เหล่านี้ ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินและติดตามความเสี่ยงของอาการเบาหวานลงเท้าได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเข้าไปพบแพทย์ตามนัด จะช่วยป้องกันความเสี่ยงของภาวะดังกล่าวได้อย่างมาก


สรุป


จากรายละเอียดในบทความนี้ จะเห็นได้ว่า ข้อแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน จะเน้นที่การดูแล รักษา และป้องกันตั้งแต่สาเหตุต้นทาง โดยการควบคุมดูแลตนเองไม่ให้เป็นโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง ร่วมกับการปฏิบัติตามตามคำแนะนำของแพทย์โดยเคร่งครัด


สำหรับผู้ที่เริ่มมีภาวะเสี่ยงที่จะมีอาการเบาหวานลงเท้า ควรมาพบแพทย์ประเมินอาการ พร้อมทั้งแนะนำการดูแลของคุณเท้าอย่างถูกสุขลักษณะ


ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดเท้า การตัดเล็บเท้า ไปจนถึงการเลือกรองเท้าที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลที่เท้าได้ เพราะการเกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียเท้าหรือขาได้


ดังนั้นการเริ่มฝึกปฏิบัติ ดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (2)

ดูทั้งหมด

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital