บทความสุขภาพ

Knowledge

เตือนภัย แมลงริ้นฝอยทรายกัด ติดเชื้อโรคลิชมาเนียอันตรายถึงชีวิต

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

Leishmaniasis หรือโรคลิชมาเนีย เป็นโรคจากการติดเชื้อปรสิตลิชมาเนีย มักเกิดจากการถูกริ้นฝอยทรายที่เป็นพาหะของเชื้อกัด ส่วนใหญ่จะแพร่ระบาดในบริเวณที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นหรือกึ่งร้อนชื้น โดยเฉพาะแถบเอเชีย แอฟริกา หรืออเมริกาใต้ ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะแสดงอาการป่วยแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น อาจเกิดแผลตรงผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด เกิดแผลที่เยื่อบุจมูกหรือปาก ตับและม้ามโต ผิวซีด หรือเป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น


ระบาดวิทยา


สถานการณ์ทั่วโลก : โรคลิชมาเนียพบในประเทศทั้งแถบเขตร้อนและใกล้เขตร้อน ซึ่งมีประเทศทางโลกเก่า (ทวีปยุโรป แอฟริกาตะวันออกกลาง คาบสมุทรอินเดีย) และประเทศทางโลกใหม่ (อเมริกากลางและอเมริกาใต้) อย่างน้อย 88 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา (75 ประเทศ) กับด้อยการพัฒนา (13 ประเทศ) ประชากรเสี่ยงมากกว่า 350 ล้านคน พบผู้ป่วยประมาณ 14 ล้านคน อุบัติการณ์ 1.5 – 2 ล้านคน/ปี ผู้ป่วยชายมากกว่าผู้ป่วยหญิง (ชาย 1,249,000 คน หญิง 840,000 คน) ผู้ป่วยเสียชีวิตประมาณ 700,000 คน/ปี แต่การเป็นโรคที่ไม่ต้องแจ้งทำให้ข้อมูลทางระบาดวิทยาตํ่ากว่าเป็นจริง ประมาณ 3 เท่า


สถานการณ์ในประเทศไทย : มีทั้งผู้ป่วยชาวต่างชาติ และแรงงานไทยกลับจากแหล่งโรคในประเทศตะวันออกกลางนำเข้ามา (Imported Cases) รวมจำนวน 49 ราย และคนไทยติดเชื้อในประเทศ (Indigenous Case) รวมจำนวน 14 ราย ตาย 2 ราย มีทั้งชาย หญิง และเด็ก จังหวัดที่พบผู้ป่วย ได้แก่ เชียงราย น่าน กรุงเทพฯ จันทบุรี พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล และตรัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดทางภาคใต้


อาการของโรคลิชมาเนีย


เกิดได้ 3 ลักษณะหลักด้วยกัน คือ


  1. เกิดแผลที่ผิวหนัง (Cutaneous Leishmaniasis) อาการ เช่น ตุ่มนูนพองใสและแดง แผล ซึ่งอาจเป็นแผลเปียก หรือแผลแห้ง แผลมักมีขอบ อาจแผลเดียวหรือหลายแผล แผลลุกลามรวมกันเป็นแผลใหญ่ได้ หรืออาจเป็นตุ่มๆ กระจายทั่วตัว
  2. เกิดแผลที่เยื่อบุบริเวณปาก จมูก (Mucocutaneous Leishmaniasis) พบได้ไม่บ่อยเท่าโรคลิชมาเนียที่ผิวหนังและที่อวัยวะภายใน โดยในระยะแรกผู้ป่วยจะสังเกตเห็นแผลที่ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด หลังจากนั้นประมาณ 1-5 ปี จะเริ่มมีแผลเกิดขึ้นในจมูก ช่องปาก ริมฝีปาก หรือกล่องเสียง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคัดจมูก เลือดกำเดาไหล หายใจลำบาก หรือเสียงแหบร่วมด้วย
  3. พยาธิสภาพกับอวัยวะภายใน (Visceral Leishmaniasis) ข้อบ่งชี้ที่สำคัญตามนิยามขององค์การอนามัยโลก คือ ไข้เรื้อรังมากกว่า 10 วัน น้ำหนักลดลง ซีด ม้ามโต ตับโต มีภาวะเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วยหลังให้การรักษาจนหายแล้วอาจปรากฏอาการทางผิวหนังที่เรียกว่า Post Kala-azar Dermal Lesion (PKDL) เช่น ตุ่มนูน (Nodule) ปื้น (Papule) ด่างดวง (Macular) หรือหลายลักษณะร่วมกัน

กลุ่มเสี่ยงโรคลิชมาเนีย


Leishmaniasis มักเกิดจากการถูกริ้นฝอยทรายที่เป็นพาหะของเชื้อชนิดนี้กัด โดยตัวริ้นอาจได้รับเชื้อมาจากการกัดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ นอกจากนั้น ผู้ป่วยอาจติดเชื้อจากการเปลี่ยนถ่ายเลือดที่มีเชื้อหรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อได้เช่นกัน


โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ อาจเสี่ยงเป็นโรคลิชมาเนียสูงกว่าคนทั่วไป


  • ผู้ที่อาศัยอยู่หรือเคยเดินทางไปบริเวณที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นหรือกึ่งร้อนชื้น โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาใต้
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนยากไร้ หรือมีภาวะขาดแคลนอาหาร
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้อพยพเข้าเมืองมาเป็นจำนวนมาก
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ระยะฟักตัวของโรคลิชมาเนีย


ระยะฟักตัวของโรคไม่แน่นอนอาจตั้งแต่ 2 – 3 วัน สัปดาห์ จนถึงหลายเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปี แต่ส่วนใหญ่ระยะฟักตัวค่อนข้างนาน


การวินิจฉัยโรคลิชมาเนีย


การวินิจฉัยโรคประกอบด้วย 3 วิธี ได้แก่ อาการทางคลินิก พยาธิสภาพ และภูมิคุ้มกันวิทยา การวินิจฉัยโรคจากอาการทางคลินิกมีความน่าจะเป็นในการวินิจฉัยโรคก่อนการทดสอบในบางแห่ง เช่น หากผู้ป่วยมีฝีเรื้อรังหลายสัปดาห์ เกิดขึ้นในป่าของประเทศเปรู อาจวินิจฉัยว่าเป็น CL ในทำนองเดียวกับ ผู้ป่วยที่มีไข้ นํ้าหนักลด ซีด ตับโต ในพื้นที่ระบาด เช่น ไบฮาร์ ประเทศอินเดีย อาจวินิจฉัยว่าเป็น VL เป็นต้น การวินิจฉัยโรคจากพยาธิสภาพ ยืนยันโดยการเจาะดูดไขกระดูกหรือตัดชิ้นเนื้อตับ ม้ามตรวจดู Amastigote ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หรือการตรวจหา DNA หรือ RNA ของเชื้อ Leishmania ด้วยวิธี PCR และการวินิจฉัยโรคจากภูมิคุ้มกันวิทยา ด้วยการตรวจหาแอนติบอดี การวิเคราะห์Cell-mediated และการทดสอบทางผิวหนัง ซึ่งการเลือกวิธีวินิจฉัยโรคขึ้นกับลักษณะของการเกิดโรค


การรักษาโรคลิชมาเนีย


การรักษาโรค Leishmaniasis สามารถทำได้หลายวิธี โดยพิจารณาตามชนิดของโรค ได้แก่


  • โรคลิชมาเนียที่ผิวหนัง ผู้ป่วยอาจหายเป็นปกติได้เองโดยไม่ต้องรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติมหากแผลที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็กและค่อย ๆ มีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แพทย์อาจให้รักษาเพิ่มเติม อย่างการให้ยาฆ่าเชื้อหากมีแผลขนาดใหญ่ อาการรุนแรง แผลหายช้า หรืออาจให้ใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
  • โรคลิชมาเนียที่เยื่อบุ โรคชนิดนี้ไม่สามารถหายเองได้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาต้านเชื้อราอย่างแอมโฟเทอริซินบี หรือยาต้านเชื้อแบคทีเรียอย่างพาโรโมมัย เพื่อกำจัดเชื้อและรักษาแผล
  • โรคลิชมาเนียที่อวัยวะภายใน ผู้ป่วยจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้ยา โดยชนิดของยาที่ใช้นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก ตัวอย่างยาที่แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ ได้แก่ Pentavalent Antimonials, Pentamidine, Paromomycin Sulfate, Miletefosine, Ketoconazole, Amphotericin B เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคลิชมาเนีย


โรคลิชมาเนียแต่ละชนิดอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแตกต่างกันไป โดยโรคลิชมาเนียที่ผิวหนังและโรคลิชมาเนียที่อวัยวะภายในเป็นชนิดที่พบได้ค่อนข้างบ่อย และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้


  • โรคลิชมาเนียที่ผิวหนัง
  • เกิดรอยแผลเป็นหลังจากแผลที่ผิวหนังหายเป็นปกติ
  • มีภาวะเลือดออกบริเวณแผล
  • โรคลิชมาเนียที่อวัยวะภายใน หากไม่รีบทำการรักษา ผู้ป่วยอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงอย่างภาวะน้ำหนักลดลงมากจนผอมแห้ง (Wasting Syndrome) หรืออวัยวะภายในอาจทำงานผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตัวผู้ป่วยและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยโรคลิซมาเนียที่ติดเชื้อเอชไอวี ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที เพราะเชื้อเอชไอวีอาจทำให้อาการของโรคลิชมาเนียรุนแรงขึ้นและทำการรักษาได้ยากยิ่งขึ้น

การป้องกันโรคลิชมาเนีย


ในปัจจุบันยังไม่มียาหรือวัคซีนชนิดใดที่สามารถป้องกันโรคนี้ได้ ดังนั้น ผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดโรคจึงควรป้องกันตัวริ้นฝอยทรายกัดตามคำแนะนำต่อไปนี้


ภายนอกอาคาร


  • สวมเสื้อแขนยาว กางเกงยายาว ถุงเท้า และเก็บชายเสื้อไว้ในกางเกง
  • ทายากันยุงหรือยากันแมลงที่ผิวทั้งบริเวณนอกร่มผ้าและในร่มผ้า โดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามฉลากบนผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการออกนอกที่พักในเวลาพลบค่ำและรุ่งเช้า

ภายในอาคาร


  • ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดในที่พักอาศัยก่อนเข้าพัก
  • อาศัยอยู่ในที่พักที่มีประตู หน้าต่าง และมุ้งลวดปิดมิดชิด
  • กางมุ้งก่อนเข้านอนเสมอ โดยตรวจดูให้แน่ใจว่ามุ้งไม่มีรูที่ตัวริ้นสามารถลอดเข้ามาได้

แหล่งอ้างอิง


  1. World Health Organization. The Leishmaniasis .Technical Report Series 701.1984 ; 140 page.
  2. World Health Organization. Regional StrategicFramwork for Elimination of Kala-azar from theSouth-East Asia Region (2005-2015) WHO ProjectNo : IND CRD 714. 2005; 1-22.
  3. https://www.pobpad.com/leishmaniasis-ลิชมาเนีย
  4. สมาคมโรคติดเชื้อเด็กแห่งประเทศไทย/โรคลิชมาเนียซิส (LEISHMANIASIS)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

ไข้เลือดออก…ภัยร้ายที่มากับหน้าฝน

โรคไข้เลือดออกมักระบาดในช่วงฤดูฝนโดยมียุงลายเป็นพาหะ หากอาการรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ปัจจุบันยังไม่มียารักษาที่จำเพาะต่อโรคไข้เลือดออก การรักษาเน้นการรักษาตามอาการ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยป้องกันไม่ให้โดนยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และรับการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อและอาการรุนแรง

รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)…อาการ การรักษา และการป้องกัน

ไข้หวัดใหญ่ (influenza) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีการระบาดทุกปี หากผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีการติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง และเสียชีวิตได้ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการรับวัคซีนซึ่งจะมีการผลิตให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ที่จะมีการระบาดในแต่ละปี

ยอดผู้ป่วยโควิดฯ สายพันธุ์ลูกผสม (XBB*) เพิ่มขึ้น! เช็กด่วน! กลุ่มเสี่ยงที่ควรมาพบแพทย์

สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกยังคงมีความรุนแรงและยังต้องการการจัดการอย่างมีระบบเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในสังคมและเศรษฐกิจ ในประเทศไทย

รู้ทัน ป้องกันได้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

อาการหนาวๆร้อนๆ เจ็บปวดตามเนื้อตัวหรือปวดศีรษะมีไข้ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเมื่อเป็นแล้วมักจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกเพศทุกวัยและสามารถพบได้ตลอดทั้งปี ใน

ฝีดาษลิง โรคจากลิงสู่มนุษย์ ที่ต้องระวัง

อีกโรคระบาดจากสัตว์ที่มาสู่มนุษย์ ซึ่งมีสาเหตุจากการได้เชื้อไวรัส ผ่านการสัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า

รู้หรือไม่…ไข้เลือดออกอันตรายกว่าที่คิด

เมื่อพูดถึง ฝน ทุกคนก็จะนึกถึงผลกระทบที่ตามมาอีกหลายอย่าง น้ำท่วมขัง เป็นแหล่งกำเนิดชั้นดีที่ก่อให้เกิด ยุง เพราะยุงเป็นพาหะที่สร้างโรคไข้เลือดออก Drag ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมานาน สามารถเกิดโรคได้ทุกเพศทุกวัย และพบบ่อยในเด็ก โดยโรคไข้เลือดออกมักมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝน และอาจจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ แต่เมื่อกล่าวถึงอันตรายของไข้เลือดออกนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ไข้ลดลง และฟื้นตัวได้เร็ว จะมีเพียงส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ที่จะมีภาวะช็อกจากการรั่วของน้ำออกนอกเส้นเลือด และสิ่งที่น่ากังวล คือ หากเลือดออกในทางเดินอาหารหรือเลือดออกในสมองจะมีภาวะเสี่ยงถึงแก่ชีวิตได้

โรคงูสวัดและวัคซีนป้องกันงูสวัดรุ่นใหม่

โรคงูสวัด (herpes zoster หรือ shingles) เกิดจากเชื้อไวรัส varicella-zoster ที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ไวรัสนี้แฝงอยู่ที่ปมประสาท เมื่อร่างกายอ่อนแอก็จะทำให้เป็นโรคงูสวัดขึ้นได้ กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงคือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยแพ้ภูมิตนเอง และผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีนป้องกันงูสวัด

ไข้หวัดใหญ่ โรคใกล้ตัวที่ป้องกันได้

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลันที่มีการระบาดทั่วโลก ซึ่ง ทุกคนมีโอกาสได้รับเชื้อนี้ ไข้หวัดใหญ่ติดต่ออย่างไร เชื้อไข้หวัดใหญ่ติดต่อกันได้ง่าย ผ่านทางระบบทางเดินหายใจหรือการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง เช่น ไอ จามรดกัน

ความรู้เรื่องโรคอีโบลา

ไวรัสอีโบลา จัดอยู่ในกลุ่มโรคชนิดเดียวกับข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่มีความรุนแรง ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่พบเชื้อไวรัสนี้ในประเทศไทย แต่หากได้รับเชื้อ อาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ การระบาดของโรคอีโบลามีอัตราป่วยตายที่สูงได้ถึงร้อยละ 90

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital