การแก้ปัญหาค่าสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง สามารถทำได้ด้วยการใช้ แว่นสายตา ใช้คอนแทคเลนส์ หรือใช้การแก้ปัญหาด้วยวิธีเลเซอร์ ที่หลายคนนิยมเรียกว่า “การทำเลสิค (LASIK)”
การทำเลสิคมีข้อดี คือ ไม่ต้องวุ่นวายกับการสวมใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ ทำให้มีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น สะดวกในการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบางชนิด และยังเหมาะกับคนที่จำเป็นต้องทำงานบางประเภท ที่มีข้อกำหนดห้ามใส่แว่นสายตา
นอกจากนี้ การทำเลสิคสำหรับบางคนที่เคยใช้แว่นสายตามาก่อน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้อีกด้วย ใครสนใจ วันนี้เราจะมาอธิบายการทำเลสิคอย่างละเอียดกัน!
ปรึกษาเพิ่มเติม หรือนัดหมายได้ที่
สารบัญ
- เลสิค คืออะไร
- เลสิค รักษาสายตาผิดปกติใดได้บ้าง
- ทำเลสิค มีกี่แบบ แบบไหนดี?
- ตารางเปรียบเทียบ การทำเลสิคประเภทต่าง ๆ
- วิธีตัดสินใจ “ควรเลือกทำเลสิคที่ไหนดี?”
- ใครทำเลสิคได้บ้าง
- เตรียมตัวก่อนมาทำเลสิค
- 2 ขั้นตอนการทำเลสิค
- การดูแลตัวเอง หลังการทำเลสิค
- การทำเลสิค มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
- การทำเลสิคซ้ำ ต้องดูความหนากระจกตา
- ศูนย์เลสิคพระรามเก้า
- สรุป
เลสิค คืออะไร
การทำเลสิค (Lasik) คือ ชื่อเรียกโดยรวมของการปรับค่าสายตาด้วยการยิงเลเซอร์ที่กระจกตา คำว่า LASIK ย่อมาจาก Laser In Situ Keratomileusis เปรียบได้กับการเจียระไนกระจกตาให้ได้ความโค้งที่ต้องการเพื่อปรับให้ภาพคมชัด สามารถแก้ไขสายตาผิดปกติ ได้แก่ สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียงโดยกำเนิด โดยมุ่งเน้นการแก้ไขที่กระจกตาเป็นหลัก
เลสิค รักษาสายตาผิดปกติใดได้บ้าง
คนไข้ที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการทำเลสิคได้ เป็นผู้ที่มีปัญหาทางสายตา ดังนี้
- สายตาสั้น (Myopia) คนไข้ที่มองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัด แต่จะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจน ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระจกตาที่โค้งมากเกินไป หรือกระบอกตายาวเกินไป
- สายตายาว (Hyperopia) คนไข้จะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ไม่ชัด ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระจกตาโค้งน้อยกว่าปกติ (แบน) หรือกระบอกตาสั้นเกินไป หรือหากเป็นสายตายาวตามวัย มักจะมาจากสาเหตุของกล้ามเนื้อตาที่เสื่อมสภาพลงตามวัย
- สายตาเอียง (Astigmatism) คนไข้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เพราะมีการหักเหของแสงที่ตกกระทบโฟกัสที่จอประสาทตาไม่สม่ำเสมอในระนาบเดียวกัน
- สายตาสั้นด้วย และมีสายตายาวตามวัยด้วย อาการนี้เกิดจากกระบวนการสายตาสั้นตามปกติ ซึ่งเกิดจากกระจกตาโค้งเกินไปหรือกระบอกตายาวเกินไป ทำให้มองไกลได้ไม่ชัด แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อที่ใช้หักเหแสงของกระจกตาเริ่มเสื่อมลง จึงไม่มีกำลังมากพอที่จะบีบกระจกตาให้โป่งออกเป็นเลนส์นูนได้เหมือนเดิม ทำให้มองใกล้ได้ไม่ชัด กรณีเช่นนี้ สามารถรักษาด้วยการทำเลสิคได้เช่นกัน
ทำเลสิค มีกี่แบบ แบบไหนดี?
1. PRK (Photorefractive Keratectomy)
PRK (Photorefractive Keratectomy) คือ เป็นวิธีแก้ไขสายตารุ่นแรกสุด แต่ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ขั้นตอนการรักษาจะไม่แยกชั้นกระจกตา แต่จะลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุด (Epithelium) ออกก่อน แล้วใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับความโค้งของกระจกตาอีกที ก่อนจะปิดกระจกตาด้วยคอนแทคเลนส์นาน 5-7 วันเพื่อลดอาการระคายเคืองตา ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 15-20 นาที
ค่าใช้จ่ายประมาณ : 30,000-50,000 บาท
จุดเด่น
- รักษาค่าสายตาผิดปกติ ได้ทั้งกรณีสายตาสั้นไม่เกิน -600 สายตายาวไม่เกิน -500 และสายตาเอียงไม่เกิน -600
- ไม่ต้องฉีดยาชา ใช้แค่ยาชาแบบหยอดตา
- ไม่ต้องมีการเย็บแผล
- ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีกระจกตาบาง ซึ่งไม่สามารถใช้การรักษาแบบแยกชั้นกระจกตาได้
- เกิดตาแห้งน้อยกว่าวิธีเลสิค
ข้อจำกัด
- มีโอกาสเกิดฝ้าที่กระจกตาได้ หากออกแดดบ่อย
- อาจมีอาการระคายเคืองมากกว่าวิธีอื่น
- ใช้เวลาฟื้นตัวช้ากว่าการทำเลสิค
ใครควรทำเลสิคประเภทนี้
- ผู้ที่มีสายตาสั้นและเอียงไม่มาก
- ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรัง
- ผู้ที่ถูกกำหนดให้ทำการรักษาด้วยวิธี PRK เท่านั้น เช่น การเตรียมตัวเข้าสอบบางอาชีพที่มีความเสี่ยง เช่น สอบนักบิน สอบเตรียมทหาร
- ต้องทำกิจกรรมและกีฬาบางประเภทที่มีความเสี่ยง เช่น นักมวย
- ผู้ที่มีข้อจำกัดในการรักษาด้วยเทคนิคการแยกชั้นกระจกตา
- ผู้ที่มีความผิดปกติของกระจกตา ได้แก่ กระจกตาบางหรือผิดรูป มีประวัติกระจกตาถลอกง่าย มีประวัติกระจกตาดำมีการลอกหลุด มีประวัติเป็นแผลที่กระจกตา
2. เลสิคใบมีด (Lasik)
เลสิคใบมีด (Microkeratome LASIK, Blade LASIK, หรือ LASIK) คือ เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูง โดยใช้ใบมีดที่มีขนาดเล็กเปิดฝากระจกตาขึ้น ก่อนใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ แล้วปิดกระจกตากลับเข้าที่เดิม ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 15-20 นาที
ค่าใช้จ่ายประมาณ : 30,000-50,000 บาท
จุดเด่น
- รักษาค่าสายตาผิดปกติ ได้ทั้งกรณีสายตาสั้นไม่เกิน -1000 สายตายาวไม่เกิน -500 และสายตาเอียงไม่เกิน -600
- ผู้ป่วยใช้เวลาพักฟื้นน้อย
- สามารถกลับมามองเห็นได้เต็มประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว
- อ่อนโยนต่อสภาพตา ระคายเคืองน้อย ทั้งในช่วงระหว่างผ่าตัดและหลังการผ่าตัด
ข้อจำกัด
- ไม่สามารถใช้เทคนิคนี้กับผู้ที่มีภาวะกระจกตาบางหรือไม่สม่ำเสมอ
- อาจเกิดรอยแผลบนผิวกระจกตา จากการแยกชั้นกระจกตา (แต่จะหายได้เอง)
- มีโอกาสเกิดภาวะตาแห้งมากกว่าวิธีการทำเลสิคแบบอื่น และไม่เหมาะกับผู้ป่วยตาแห้งเรื้อรัง
ใครควรทำเลสิคประเภทนี้
ผู้ที่มีสายตาสั้นและเอียงไม่มาก มีสายตาสั้นและเอียงไม่เกิน 600
3.เฟมโตเลสิค (FemtoLASIK)
เฟมโตเลสิค (FemtoLASIK) คือ วิธีการรักษาที่ใช้เลเซอร์ (Femtosecond Laser) ในขั้นตอนการเปิดฝา กระจกตา จากนั้นจะปรับแต่งความโค้งของกระจกด้วยเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) เรียกได้ว่าใช้เลเซอร์เป็นหลักตลอดการรักษา โดยไม่ต้องใช้ใบมีดเปิดฝากระจกตา (Bladeless LASIK) จึงให้ความแม่นยำและความปลอดภัยที่ดีกว่าการทำเลสิคแบบใช้ใบมีด ระยะเวลาในการผ่าตัด 30 นาที
ค่าใช้จ่ายประมาณ : 70,000-100,000 บาท
จุดเด่น
- รักษาค่าสายตาผิดปกติ ได้ทั้งกรณีสายตาสั้นไม่เกิน -1000 สายตายาวไม่เกิน -500 และสายตาเอียงไม่เกิน -600
- ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนต่ำ
- อ่อนโยน และก่อความระคายเคืองน้อย
- ไม่ต้องฉีดยาชา ใช้แค่ยาชาแบบหยอดตา
- ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะไม่ต้องผ่าตัด
- สามารถกลับมามองเห็นได้เต็มประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว
- มีความแม่นยำในการแยกชั้นกระจกตาสูง
ข้อจำกัด
- อาจเกิดรอยแผลบริเวณกระจกตา
- หากมีอุบัติเหตุกระทบกระเทือนตาอย่างรุนแรงมีโอกาสฝากระจกตาเคลื่อนที่
- ทำให้เกิดตาแห้งได้มากกว่าวิธี ReLEx Smile
ใครควรทำเลสิคประเภทนี้
ผู้ที่มีภาวะกระจกตาบาง , ตาเล็กเปิดตาได้ไม่มาก
4.เลสิคแบบไร้ใบมีด (ReLEx Smile)
เลสิคแบบไร้ใบมีด (ReLEx Smile) หรือ Refractive lenticule extraction – Small incision lenticule extraction คือ เทคโนโลยีล่าสุดในการแก้ไขสายตาโดยใช้เลเซอร์ (Femtosecond Laser) ซึ่งมีความแม่นยำสูง
เทคนิคดังกล่าว ไม่ต้องเปิดฝากระจกตาเพื่อแยกชั้นเหมือนวิธีเลสิคใบมีด แต่จะใช้เลเซอร์ตัดเนื้อกระจกตาเป็นชิ้นเลนส์ แล้วดึงออกผ่านแผลซึ่งมีขนาดเล็กเพียงประมาณ 2-4 มม. จึงเป็นเทคนิคที่รบกวนกระจกตาน้อยมาก ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 15-20 นาที
ค่าใช้จ่ายประมาณ : 90,000-120,000
จุดเด่น
- ไม่มีการแยกชั้นกระจกตาให้เกิดบาดแผล
- ระคายเคืองหรือปวดตาน้อยมาก (หรือแทบไม่มีเลย)
- โอกาสเกิดภาวะตาแห้งน้อยมาก
- รักษาโครงสร้างทางกายภาพและความแข็งแรงของเนื้อกระจกตาได้ดี
- ลดภาวะแสงฟุ้งกระจายตอนกลางคืน
- ใช้เวลาผ่าตัดสั้น
ข้อจำกัด
- ใช้ทักษะความชำนาญของแพทย์เป็นกรณีพิเศษ
- มีระยะการฟื้นตัวใกล้เคียงหรืออาจช้ากว่าการทำเลสิคใบมีด
- รักษาได้เฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้นตั้งแต่ -50 ถึง -1000 และสายตาเอียงไม่เกิน -600
แต่ยังใช้รักษาภาวะสายตายาวไม่ได้
ใครควรทำเลสิคประเภทนี้
- ผู้ที่ต้องการรักษาสายตาสั้นและสายตาเอียง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงกระทบกระแทกบริเวณตา หรือ เล่นกีฬาเป็นประจำ
- ผู้ที่ตาแห้ง
สรุปการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ
หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
ควรเลือกการทำเลสิคด้วยใบมีด (Lasik) หรือ การรักษาแบบ PRK
หากทำอาชีพ เล่นกีฬา หรือกิจกรรมที่เสี่ยงกับการกระทบกระเทือน
ควรเลือกการรักษาแบบ PRK หรือ ReLEx Smile
การฟื้นตัว
- ฟื้นเร็วที่สุด: การรักษาแบบ FemtoLASIK
- ฟื้นตัวเร็วปานกลาง: เลสิคใบมีด และ ReLEx Smile
- ฟื้นตัวช้าที่สุด: การรักษาแบบ PRK
โอกาสเกิดการระคายเคือง :
- โอกาสระคายเคืองน้อยที่สุด: การรักษาแบบ ReLEx Smile (รอยแผล 2-4 มม.)
- โอกาสระคายเคืองน้อยรองลงมา: การรักษาแบบ FemtoLASIK (รอยแผล 20 มม.)
- โอกาสระคายเคืองปานกลาง: เลสิคใบมีด (รอยแผล 20 มม.)
- โอกาสระคายเคืองสูง: การรักษาแบบ PRK (รอยแผลประมาณ 30 ตร. มม.)
ข้อแนะนำ: ไม่มีเทคนิคการทำเลสิคประเภทไหนที่ดีที่สุดโดยสมบูรณ์ แต่ละเทคนิคจะมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป และยังเหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนไข้แต่ละคนต้องมาตรวจสภาพตาอย่างละเอียดก่อนเลือกประเภทของการปรับค่าสายตา บางคนสภาพตาดีมากสามารถเลือกทำได้ทุกวิธี แต่บางคนทำได้แค่บางวิธีเท่านั้น เพราะฉะนั้นการตรวจประเมินสภาพตา จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก คนไข้ควรปรึกษาและวางแผนการรักษากับแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ที่สุด ทั้งนี้ แพทย์จะให้ข้อมูลว่าคนไข้ทำวิธีไหนได้บ้าง และให้คนไข้เป็นผู้ตัดสินใจเลือก
วิธีตัดสินใจ “ควรเลือกทำเลสิคที่ไหนดี?”
เพราะดวงตาของเรามีเพียงคู่เดียว การผ่าตัดแก้ไขสายตาหรือการทำเลสิคก็มักจะทำเพียงครั้งเดียวในชีวิต การจะตัดสินใจทำที่ไหนจึงมีความสำคัญมาก ควรพิจารณาถึงเกณฑ์ต่าง ๆ ในการเลือก ดังนี้
- สถานที่ให้บริการ ควรสะอาดและได้รับการรับรองตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย
- แพทย์ที่ทำเลสิค ควรเป็นจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ และมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วย
- เทคโนโลยีเครื่องมือที่ใช้ ควรได้มาตรฐานและเป็นรุ่นที่ทันสมัย เนื่องจากจะสามารถแก้ไขค่าสายตาได้แม่นยำและมีความปลอดภัย โดยมีผลข้างเคียงที่ต่ำ
- ควรมีทางเลือกหลากหลายให้ผู้ป่วยในการตัดสินใจ หากมีการรักษาครบทุกรูปแบบ ทั้ง PRK, LASIK, FemtoLASIK, ReLEx Smile และการผ่าตัดเลนส์เสริม (ICL) จะทำให้แพทย์สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ป่วยได้
- หากเป็นศูนย์เลสิคที่ตั้งอยู่ในสถานพยาบาล จะสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างครบวงจร เช่น หากผู้ป่วยมีตัวโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้งรุนแรง หรือมีต้อกระจก ต้อหินร่วมด้วย ก็สามารถรักษาต่อเนื่องได้เลย
- นอกจากแพทย์แล้ว ทีมเจ้าหน้าที่ก็มีความสำคัญเช่นกัน หากมีประสบการณ์ในด้านการดูแลผู้ป่วยเลสิค จะสามารถให้คำแนะนำปรึกษาได้อย่างละเอียดและครบถ้วน
- ระดับราคาที่ยอมรับได้ เนื่องจากเลสิคแต่ละประเภท มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและความซับซ้อนของเทคนิคการผ่าตัด และสถานที่ทำเลสิคแต่ละแห่งก็มีอัตราค่าบริการที่แตกต่างกันไป ผู้สนใจควรศึกษาและเปรียบเทียบให้แน่ใจก่อนว่า ระดับราคากลางของเทคนิคการทำเลสิคแต่ละประเภทคือเท่าไหร่? และความคาดหวังในรูปแบบการรับบริการของตนเป็นแบบไหน?
เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว ต่อไป
จะเลือกรักษาด้วยเลสิคที่ไหนให้เหมาะกับดวงตาคู่สำคัญของเราก็ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ
ใครทำเลสิคได้บ้าง
ทำไมบางคนทำเลสิคได้ บางคนทำไม่ได้?
คุณสมบัติทั่วไป ที่สามารถเข้ารับการทำเลสิคได้
- อายุ 18 ปีขึ้นไป
- มีสายตาคงที่ เปลี่ยนแปลงได้ไม่เกิน 50 (0.5D) เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสสายตากลับมาสั้นหรือเอียงเพิ่มได้
- ไม่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ให้รอประจำเดือนกลับมาแล้วอย่างน้อย 2 รอบ
- ต้องไม่มีโรคของกระจกตาและโรคตาอย่างอื่นที่รุนแรง เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้งอย่างรุนแรง หรือโรคทางร่างกายที่มีผลต่อการหายของแผล เช่น โรคเบาหวาน SLE เป็นต้น ซึ่งควรแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการรักษาด้วยเลสิค
ปัจจัยด้านลักษณะกระจกตาคนไข้ มีผลต่อการพิจารณาทำเลสิค
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดว่าคนไข้จะเข้ารับการรักษาด้วยเลสิคได้หรือไม่ คือ ความหนาและความแข็งแรงของกระจกตาคนไข้ เนื่องจากการทำเลสิคทุกชนิด จะเป็นการยิงเลเซอร์ไปที่กระจกตา ส่งผลให้กระจกตาบางลง
หมอจะไม่แนะนำให้ทำเลสิคหากคนไข้กระจกตาหนาหรือแข็งแรงไม่เพียงพอ แต่จะแนะนำให้ปรับค่าสายตาด้วยวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกระจกตาแทน เช่น การใส่เลนส์ปรับค่าสายตาเข้าในดวงตา หรือที่เรียกว่า ICL
แม้อายุถึงเกณฑ์แล้ว ถ้าค่าสายตายังไม่นิ่ง ก็ยังทำเลสิคไม่ได้
ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการรักษา มักจะแนะนำให้ทำเลสิคได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะเป็นอายุที่ค่าสายตาคงที่แล้ว แต่อายุก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณาการรักษา สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความนิ่งของค่าสายตา ผู้ที่จะทำเลสิคได้นั้น ควรมีค่าสายตาที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วอย่างน้อย 1 ปี
เตรียมตัวก่อนมาทำเลสิค
ปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนแนวทางการรักษา
การปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจประเมินเบื้องต้น ว่าสามารถรักษาด้วยเลสิคได้หรือไม่? และควรใช้เทคนิคการเลสิคแบบไหน? แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ในสถาบันที่รองรับการทำเลสิคได้หลากหลาย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการเลือกวิธีรักษาของตัวเราเอง เพราะถ้ามีทางเลือกน้อย อาจได้เทคนิคการรักษาที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับเรา
ในขั้นตอนนี้ เราต้องเดินทางเข้าไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอย่างละเอียดด้วย สามารถโทรสอบถามจากโรงพยาบาลหรือศูนย์เลสิค
โดยเบื้องต้นมีขั้นตอนเตรียมตัว ดังนี้
- กรณีอายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ต้องมีผู้ปกครองมาด้วย
- หากใช้คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม ให้ถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อน อย่างน้อย 3 วัน หากเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง ให้ถอดอย่างน้อย 7 วัน เพราะจะช่วยให้แพทย์ตรวจวัดค่าสายตาได้อย่างแม่นยำขึ้น และทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
- งดใช้ยารักษาสิว อย่างน้อย 1 เดือน (ทั้งก่อนตรวจสภาพตา และก่อนผ่าตัด) เพราะเป็นยาที่ส่งผลต่อเยื่อบุและผิวกระจกตา อาจทำให้การวัดประเมินดวงตามีความคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ ถ้าใช้ยาประจำอยู่ ต้องแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบ
- วันที่มาตรวจประเมินสายตา อาจต้องมีการหยอดยาเพื่อขยายม่านตาด้วย ซึ่งจะทำให้ตาสู้แสงไม่ได้ และเกิดอาการพร่ามัวชั่วคราว จึงควรเตรียมแว่นกันแดดไว้ และพาเพื่อนหรือญาติมาด้วยเพื่อคอยดูแล
วันตรวจประเมิน จักษุแพทย์จะใช้ยาหยอดขยายม่านตาเพื่อวัดสายตาโดยละเอียด ได้แก่ ตรวจวัดการมองเห็น วัดความดันลูกตา ตรวจสภาพจอประสาทตา ตรวจวัดความโค้งกระจกตาส่วนหน้าและส่วนหลัง ตรวจวัดความหนาของกระจกตา
จักษุแพทย์จะประเมินจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของคนไข้ว่า มีค่าสายตาสั้น ยาว หรือเอียงเท่าไหร่? สายตาคงที่แล้วหรือยัง? นอกจากนี้ จะประเมินอายุ โรคประจำตัว ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับดวงตา ยาที่ใช้ประจำ (หรือใช้อยู่ในปัจจุบัน) ลักษณะการดำเนินชีวิต เพื่อพิจารณาความจำเป็นด้านระยะเวลาพักฟื้น เป็นต้น
หลังจากนั้นจะประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้เพื่อสรุปผลแล้วให้คำแนะนำ พร้อมแผนการรักษากับคนไข้อีกครั้งหนึ่ง
2 ขั้นตอนการทำเลสิค
การทำเลสิคประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1 : การเปิดฝากระจกตา
แบ่งเป็น 2 วิธี คือ
- เปิดฝากระจกตาด้วยใบมีด (Microkeratome) เป็นเทคนิคดั้งเดิมแต่ก็ยังเป็นที่นิยม เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเปิดฝากระจกตาด้วยเลเซอร์
- เปิดฝากระจกตาด้วยเลเซอร์ (Femtosecond laser) ซึ่งจะให้ความแม่นยำมากกว่า
ขั้นตอนที่ 2 : การยิงเลเซอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา
โดยใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่มีความจำเพาะกับเนื้อเยื่อกระจกตา ไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง และสามารถปรับความโค้งของกระจกตาตามค่าสายตาของคนไข้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จากนั้นแพทย์จะปิดฝากระจกตากลับสู่ที่เดิม
การดูแลตัวเอง หลังการทำเลสิค
เพื่อป้องกันดวงตาจากการติดเชื้อ รวมถึงลดความเสี่ยงอื่น ๆ ซึ่งอาจมีผลให้การทำเลสิคไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
วันแรก หลังการทำเลสิค
สวมฝาครอบตา : คนไข้ต้องสวมฝาครอบตาตลอดเวลา ห้ามแกะฝาครอบเด็กขาด โดยสามารถมองผ่านรูเล็ก ๆ ของฝาครอบตาได้เท่านั้น
ซับน้ำตารอบ ๆ ฝาครอบตา: ในช่วงนี้ คนไข้อาจมีอาการเคืองตา คล้ายมีเศษผงอยู่ในตา บางคนอาจน้ำตาไหลออกมา ให้ซับออกได้เฉพาะน้ำตานอกฝาครอบตาเท่านั้น ห้ามแยงนิ้วเข้าไปซับน้ำตาในที่ครอบตา
นอนพักสั้น ๆ หลังการผ่าตัด : ควรนอนหลับสั้น ๆ (กรณีรักษาช่วงกลางวัน) หรือนอนหลับแต่หัวค่ำ (กรณีรักษาช่วงเย็น) ช่วงวันแรก ๆ ควรพักสายตาให้มากที่สุด
หากมีอาการปวดตา: สามารถกินยาแก้ปวดได้ ซึ่งถ้าเป็นมาก ควรแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบในวันนัดติดตามผล
ทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น : คนไข้ควรงดกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น แต่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยความระมัดระวัง ห้ามน้ำเข้าตาเด็ดขาด แต่สามารถอาบน้ำและแปรงฟันได้
ข้อปฏิบัติทั่วไป หลังทำเลสิค
เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด คนไข้ควรปฏิบัติดังนี้
- เข้าพบจักษุแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง และตรวจเช็คอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ปกติแล้วจักษุแพทย์จะแจ้งเวลานัดให้กับคนไข้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว โดยจะแบ่งเป็นการนัดระยะสั้น เช่น หลังผ่าตัด 1 วัน หรือ 1 สัปดาห์ ไปจนถึงการนัดระยะยาว เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน
- หยอดยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ป้องกันการติดเชื้อ และสามารถหยอดน้ำตาเทียมได้บ่อยตามต้องการ
- ห้ามให้น้ำหรือฝุ่นเข้าตาโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หากต้องการทำความสะอาดใบหน้าให้ใช้ผ้าหมาด ๆ เช็ดหน้าแทน ส่วนการสระผม ควรให้ผู้อื่นสระให้
- ห้ามขยี้ตา การขยี้ยาเป็นเรื่องที่พลั้งเผลอกันง่ายมาก จึงไม่ควรเปิดฝาครอบตาออกหากไม่จำเป็น และต้องใส่ไว้ตลอดแม้แต่ตอนนอน เพราะจะช่วยป้องกันการเผลอขยี้ตาได้
- งดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ลดโอกาสระคายเคืองต่อดวงตา
- สวมแว่นตากันแดด เพื่อป้องกันแสงแดดและลมเข้าตาเมื่ออยู่ในที่มีแสงจ้า ลดความไม่สบายตา หรืออาการตาแห้งได้
- ใช้สายตาได้บ้าง แต่ควรหยุดพักสายตาบ่อย ๆ เนื่องจากช่วงนี้สายตายังปรับตัวได้ไม่เต็มที่ อาจทำให้เกิดอาการเมื่อยตาหรือล้าตาได้ง่าย
- งดกิจกรรมทุกชนิดที่ทำให้เหงื่อออก เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำงานบ้าน เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- งดกิจกรรมทางน้ำ ได้แก่ งดว่ายน้ำ 1 เดือน และงดกิจกรรมดำน้ำ 3 เดือน นับจากวันผ่าตัด
การทำเลสิค มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงระยะสั้นของการทำเลสิค ซึ่งเมื่อกระจกตาเริ่มปรับสภาพได้ อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้น ได้แก่
- เคืองตา คนไข้เลสิค มักมีอาการนี้ได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ช่วงนี้ให้พักสายตามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีน้ำตาไหล ให้ซับน้ำตาที่ล้นออกมานอกฝาครอบตา (ห้ามแยงนิ้วเข้าไปซับน้ำตา) เมื่อผ่านวันแรกไปแล้ว อาการจะดีขึ้นเอง
- สายตาไม่ชัด หรือมีอาการตาพร่า มักจะเป็นกันในสัปดาห์แรก อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากแผลหลังการทำเลสิค เมื่อแผลหายดีแล้ว อาการเหล่านี้จะดีขึ้น
- การมองเห็นแสงไฟแตกกระจายในตอนกลางคืน อาจเป็นรูปแบบของแสงกระจาย (Glare) หรือ แสงรัศมีรอบดวงไฟ (Halo) ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 1-3 เดือน มากน้อยแล้วแต่คน บางคนเป็นมากอาจส่งผลกระทบต่อการขับขี่ตอนกลางคืนได้ ควรงดขับขี่ยานพาหนะชั่วคราว
- อาการตาแห้ง ซึ่งเกิดจากการทำงานของระบบน้ำตาลดลงชั่วคราว โดยจะเป็นอยู่ประมาณ 3-6 เดือน
นอกจากนี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อ (Infection) ซึ่งปกติจักษุแพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อใช้หยอดตาหลังจากทำเลสิคอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
การทำเลสิคจะทำให้กระจกตาบางลง และการวัดความดันลูกตาจะได้ค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ไม่ส่งผลเสียกับคนไข้ ยกเว้นว่ามีการตรวจวัดความดันลูกตา เช่น ตรวจสุขภาพตาประจำปี หรือตรวจหาโรคต้อหิน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน ว่าทำเลสิคมาเพื่อคำนวณหาค่าความดันลูกตาที่แท้จริงของคนไข้ได้
การทำเลสิคซ้ำ ต้องดูความหนากระจกตา
โดยมากผู้ที่สายตากลับมาสั้นอีกหลังจากเคยทำเลสิคไปแล้ว จะใช้ระยะเวลานาน 5-10 ปีขึ้นไป และมักจะสั้นไม่มาก (ไม่เกิน 100-150) ซึ่งค่าสายตาระดับนี้ ไม่กระทบการมองมากนัก อาจพิจารณาใส่แว่นเสริมได้
อย่างไรก็ดี หากต้องการทำเลสิคซ้ำอีกครั้ง ต้องประเมินความหนาของกระจกตา ถ้าเหลือความหนาเพียงพอ สามารถทำซ้ำได้ แนะนำให้ติดต่อที่ศูนย์เลสิคเดิมที่เคยทำ จะได้มีข้อมูลกระจกตาของคนไข้ครบถ้วน
ศูนย์เลสิคพระรามเก้า
ศูนย์เลสิคพระรามเก้า จัดตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด รวมถึงสายตาเอียง
โดยนำเทคโนโลยีทันสมัยจากประเทศเยอรมนีมาใช้ในการรักษา ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่รักษาสายตาได้ครบทุกมิติ ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา
เทคโนโลยีการรักษา ศูนย์เลสิคพระรามเก้า
ศูนย์เลสิคพระรามเก้า ให้บริการการทำเลสิค 4 รูปแบบ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการการรักษาของคนไข้ให้ครอบคลุมที่สุด
- LASIK การแก้ไขสายตาโดยเปิดฝากระจกตา
- PRK การปรับแก้ไขสายตาโดยไม่เปิดฝากระจกตา
- Femto LASIK การปรับแก้ไขสายตาโดยเปิดฝากระจกตา ด้วย Femtosecond Laser
- ReLEx SMILE การปรับแก้สายตาโดยเปิดแผลเล็ก
อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ https://www.praram9.com/medical_centers/ศูนย์เลสิค/
ศูนย์เลสิคพระรามเก้า เปิดบริการทุกวัน 08.00-16.00 น.
ที่อาคาร B ชั้น 9 โรงพยาบาลพระรามเก้า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. 1270
หรือแอดไลน์ Praram9Lasik:
สรุป
การทำเลสิค เป็นการรักษาความผิดปกติของค่าสายตาที่เป็นที่นิยม เนื่องจากช่วยลดความยุ่งยากในชีวิตประจำวันจากการใช้แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ได้ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมบุคลิกภาพได้ โดยเฉพาะบางคนที่ต้องสวมแว่นสายตาที่หนามาก เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ควรศึกษาและทำความเข้าใจการทำเลสิคโดยละเอียดก่อน โดยเฉพาะความแตกต่างของการรักษาแต่ละวิธี เพื่อความคาดหวังที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อตัวคนไข้เอง ที่จะพิจารณาแนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับตัวเองที่สุด