สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามโดยเฉพาะเมื่อปัญหาสุขภาพนั้นสามารถส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้อย่างอาการปวดหัวเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและนิยมรักษากันเองไม่ค่อยไปพบแพทย์เท่าไหร่ แต่หากอาการปวดหัวนี้มีสาเหตุจากโรคที่รุนแรง และไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ก็อาจทำให้ปัญหานี้ลุกลามใหญ่โตขึ้นได้ สาเหตุของอาการปวดหัวไม่หาย เกิดจากอะไร ป้องกันและรักษาได้อย่างไร? ติดตามได้ในบทความนี้
Key Takeaways
- สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความเครียด การนอนพักไม่เพียงพอ หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและฮอร์โมน
- วิธีป้องกันเบื้องต้นควรเริ่มจากการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด การปรับพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- อาการปวดหัวเรื้อรังสามารถรักษาหรือบรรเทาได้ด้วยการบริหารจัดการความเครียด นวดแผนไทย หรือการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
- หากอาการปวดหัวหลายวันไม่หายสักทีแม้จะเริ่มกินยารักษาด้วยตนเองแล้ว หรือมีอาการที่เป็นอันตรายร่วมด้วย ก็ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
ปวดหัวเรื้อรังคืออะไร บ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?
อาการปวดหัวเรื้อรังคืออาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ และบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่อยู่เบื้องหลังได้ โดยทั่วไปจะสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ดังนี้
- ปวดหัวเรื้อรังที่มีสาเหตุจากโรคร้ายแรง : เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งสมอง หรือเนื้องอกในสมอง ซึ่งอาการปวดหัวในกรณีนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่มีความรุนแรงและต้องได้รับการตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจนจากแพทย์โดยเร็ว
- ปวดหัวเรื้อรังที่ไม่เป็นอันตรายแต่รบกวนการใช้ชีวิต : เช่น ปวดหัวจากความเครียด การทำงานหนัก หรือกล้ามเนื้อตึงเครียด ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตอย่างรุนแรง แต่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตลดลงและทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันลำบากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดหัวเรื้อรัง

อาการปวดหัวเรื้อรังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แม้ว่าหลายกรณีจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ โดยสาเหตุก็จะมี ดังนี้
- ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ : กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ และไหล่ มักเกิดความเครียดจากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือการใช้สายตาอย่างต่อเนื่อง อาการปวดหัวจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อมักให้ความรู้สึกปวดหัวหนักมากเหมือนถูกบีบรัด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ระดับฮอร์โมนในร่างกายที่แปรปรวน โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นไมเกรน ซึ่งผู้หญิงหลายคนพบว่าอาการปวดหัวมักกำเริบในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน และลดลงหลังหมดประจำเดือน
- พันธุกรรม : หากมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นไมเกรนหรือมีอาการปวดหัวเรื้อรัง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการนี้ในรุ่นถัดไป
- ความผิดปกติของเส้นประสาทใบหน้า : เส้นประสาทคู่ที่ 5 ของสมอง (Trigeminal Nerve) มีหน้าที่ควบคุมการรับรู้ความรู้สึกบนใบหน้า หากเส้นประสาทนี้ทำงานผิดปกติก็อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณใบหน้า ฟัน เหงือก หรือกราม และในบางกรณีอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำตาไหล หรืออาการบวมบริเวณใบหน้า
อาการปวดหัวเรื้อรังมีอะไรบ้าง
อาการปวดหัวเรื้อรังสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของภาวะทางสุขภาพที่รุนแรง หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยทันที
- ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน : เกิดขึ้นแบบฉับพลันและรุนแรงผิดปกติ
- ปวดหัวร่วมกับไข้และคอแข็ง : อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ปวดหัวพร้อมกับอาการทางระบบประสาท : เช่น แขนขาอ่อนแรง การพูดผิดปกติ หรือสับสน อาจบ่งบอกถึงภาวะสมองผิดปกติ
- ปวดหัวที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ : แม้รับประทานยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือมีแนวโน้มแย่ลง
วิธีรักษาอาการปวดหัวเรื้อรังทำได้อย่างไรบ้าง?

อาการปวดหัวเรื้อรังจะมีหลายวิธีในการรักษา ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยแนวทางการรักษาโดยเบื้องต้นก็จะมี ดังนี้
1. ปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง
- จัดการความเครียด : โดยใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น ฝึกสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกสงบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ : นอนหลับให้สนิทอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- ปรับท่าทางในการทำงาน : หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานและปรับระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
- ลดการใช้สายตาหนักเกินไป : โดยพักสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที
2. การบำบัดทางกายภาพ
- การนวดและกายภาพบำบัด : ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว
- ฝังเข็ม : อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวบางประเภท เช่น ไมเกรนหรือปวดหัวจากความเครียด
- การออกกำลังกายเป็นประจำ : เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดความเครียด
3. การใช้ยา
- ยาแก้ปวดทั่วไป : เช่น พาราเซตามอล สามารถใช้บรรเทาอาการได้ในกรณีที่ไม่รุนแรง
- ยาที่แพทย์สั่ง : เช่น ยาแก้ไมเกรน หรือยาคลายกล้ามเนื้อ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด : เพราะอาจทำให้เกิดภาวะปวดหัวจากการใช้ปริมาณยาเยอะเกินไปต่อครั้งที่ใช้ (Medication Overuse Headache) โดยทั่วไปควรใช้ยาในปริมาณที่แนะนำบนฉลากขวดหรือซองยาเท่านั้น
วิธีป้องกันอาการปวดหัวเรื้อรังทำได้อย่างไรบ้าง?
การป้องกันอาการปวดหัวเรื้อรังสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว วิธีที่ช่วยป้องกันอาการปวดหัวเรื้อรัง ได้แก่
1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอาการปวดหัว
- สังเกตสิ่งกระตุ้นเร้า : อาหาร ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ ความดันโลหิตสูง หรือการใช้สายตานาน ๆ สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นได้หมด จึงควรสังเกตว่าปัจจัยไหนที่มักจะทำให้เรามีอาการปวดหัวขึ้นมา แล้วจึงหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้อาการแย่ลง
- งดสารที่อาจมีส่วนกระตุ้น : เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่ ซึ่งมักทำให้เกิดอาการปวดหัวบ่อยขึ้นในหลาย ๆ คน
- ลดความเครียด : ด้วยวิธีผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง ทำสมาธิ หรือออกกำลังกาย
2. ปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม
- นอนหลับให้เพียงพอ : อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เข้านอนให้เป็นเวลา ทำให้ห้องมืด ไม่มีเสียงรบกวน
- ตรวจสายตาเป็นประจำ : หากมีปัญหาสายตาควรใส่แว่นที่เหมาะสม เพื่อลดอาการปวดหัวจากการเพ่งสายตา
- จัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม : เช่น ปรับระดับโต๊ะและเก้าอี้ให้พอดีกับสรีระ และใช้แสงสว่างที่เหมาะสม เพื่อป้องกันความตึงเครียดของตาและกล้ามเนื้อคอ
- เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ : เมื่อนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือนั่งดูโทรศัพท์นานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อตึงโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนอิริยาบถจะทำให้ร่างกายเปลี่ยนการใช้มัดกล้ามเนื้อและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเป็นระยะเวลานานๆ
3. การดูแลร่างกาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารกระตุ้นไมเกรน เช่น อาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีสารปรุงแต่งสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อช่วยลดความเครียดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
ปวดหัวเรื้อรัง เป็นตลอดเวลากินยาไม่หาย ต้องรีบพบแพทย์!
อาการปวดหัวเรื้อรังเป็นอาการที่แตกต่างจากการปวดหัวเพราะป่วยทั่ว ๆ ไป โดยอาจจะไม่มีไข้ ปวดหัวตลอดเวลา กินยาแล้วก็ไม่หาย ซึ่งอาการแบบนี้ก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และอาจเกิดจากโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เนื้องอกหรือมะเร็งในสมองด้วย โดยการรักษาเบื้องต้นก็สามารถทำได้ด้วยการจัดการความเครียด การพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการบำบัดทางกายภาพ
แต่หากอาการรุนแรงขึ้นแม้จะพยายามรักษาเองแล้วก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าอาการปวดหัวเรื้อรังนี้อาจเกิดจากโรคที่ร้ายแรงและอาจต้องใช้การรักษาที่เฉพาะทางมากขึ้น จึงควรเข้ารับการตรวจที่ศูนย์สมองและระบบประสาท ในโรงพยาบาลพระราม 9 ที่มีความพร้อมในการวินิจฉัยและสามารถให้บริการรักษาที่เหมาะสมต่อความต้องการของผู้ป่วยทุกคนได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปวดหัวเรื้อรัง
1. ปวดหัวเรื้อรังแบบไหนควรพบแพทย์?
หากปวดหัวรุนแรงขึ้นกะทันหัน ปวดต่อเนื่องแม้กินยา หรือมีอาการร่วม เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด เวียนศีรษะมาก เห็นภาพซ้อน หรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที
2. ปวดหัวเรื้อรังแบบไหนต้องตรวจ MRI สมอง?
หากปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ตอบสนองต่อการรักษา หรือมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชา อ่อนแรง เกิดความสับสน ก็ควรตรวจ MRI สมองเพื่อตรวจหาความผิดปกติเพิ่มเติมที่อาจมีร่วมด้วย
References
Murphy, C., & Hameed, S. (2023, July 31). Chronic headaches. National Center for Biotechnology Information. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK559083/
New daily persistent headache (NDPH). (2022, August 31). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24098-new-daily-persistent-headache-ndph
Seladi-Schulman, J. (2024, January 24). Having constant headaches? What you need to know. Healthline. https://www.healthline.com/health/constant-headache