บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคลำไส้แปรปรวน สาเหตุการปวดท้องเรื้อรัง อืดแน่นท้อง ขับถ่ายผิดปกติ

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

โรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome; IBS) เป็นโรคของทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้มากถึง 10 – 20% ของประชากรทั่วโลก แต่พบว่าผู้ที่มีอาการของโรคลำไส้แปรปรวนเพียง 15% เท่านั้นที่มาปรึกษาแพทย์และเข้ารับการตรวจ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่เรื่อยๆ ทำให้เกิดความหงุดหงิด รำคาญ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน ที่สำคัญโรคลำไส้แปรปรวน อาจมีอาการคล้ายกับโรคร้ายแรงบางอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ ดังนั้นผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


โรคลำไส้แปรปรวน หรือ IBS คือโรคอะไร ?


โรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome; IBS) คือ ภาวะการทำงานผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวมากเกินไป ส่งผลทำให้เกิดอาการ และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประจำวันของผู้ป่วย โดยมักพบตั้งแต่อายุน้อยถึงวัยกลางคน และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาการของโรคลำไส้แปรปรวนประกอบด้วยอาการหลัก คือ ปวดท้องเรื้อรัง หรืออึดอัดท้อง โดยมีลักษณะอาการสัมพันธ์กับการขับถ่ายอุจจาระที่เปลี่ยนไป ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยสาเหตุอื่น ๆ


Fig1.jpeg

โรคลำไส้แปรปรวน มีอาการอย่างไร ?


อาการของโรคลำไส้แปรปรวนมักพบตั้งแต่อายุน้อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยอาการที่พบ ได้แก่


  1. ปวดท้อง: ปวดท้องอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วง 3 เดือน มักเป็นลักษณะบีบเกร็ง หรืออาจเป็นแบบอื่น เช่น ตื้อ ๆ หนัก ๆ อึดอัด มักปวดบริเวณท้องด้านล่างซ้าย หรืออาจเกิดได้ในตำแหน่งอื่น ๆ โดยความรุนแรง และตำแหน่งของการปวดจะแตกต่างกันในแต่ละคน บางคนเป็นรุนแรงขึ้น เมื่อเครียดหรือรับประทานอาหารบางอย่าง บางคนปวดมากขึ้นระหว่างมีรอบเดือน บางคนอาการดีขึ้นเมื่อได้ขับถ่าย
  2. มีลักษณะการขับถ่ายผิดปกติไปจากเดิม: ถือเป็นลักษณะพิเศษที่อาจช่วยในการวินิจฉัยโรคนี้ เช่น มีท้องเสีย ท้องผูก หรือ มีสลับท้องเสียและท้องผูกก็ได้ โรคนี้อาจมีอาการที่แบ่งเป็นท้องเสียเด่น (diarrhea predominant IBS) หรือท้องผูกเด่น (constipation dominant IBS)
  3. ท้องเสีย: มักมีอาการช่วงกลางวันหรือช่วงเวลาทำงาน และมักเป็นในช่วงเช้าหรือหลังทานอาหาร อาการท้องเสียในภาวะนี้มักมีอาการร่วมคือ รีบอยากเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย มักรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด และประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีมูกเวลาขับถ่าย
  4. ท้องผูก: อาจมีอาการเป็นวัน หรือเป็นเดือน อุจจาระมีลักษณะแข็งคล้ายลูกกระสุน บางคนอาจมีความรู้สึกว่าถ่ายไม่หมดร่วมด้วย ทำให้ต้องเบ่งถ่าย หรือนั่งถ่ายอุจจาระอยู่นานไม่ออก ทำให้บางคนต้องใช้ยาระบาย หรือ สวนถ่ายบ่อย ๆ
  5. อาการของทางเดินอาหารอื่น ๆ: เช่น ท้องเสียสลับท้องผูก อืดเฟ้อ ลมมาก เรอ แน่นแสบอก กลืนลำบาก อิ่มเร็ว หรือคลื่นไส้
  6. อาการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาการกลุ่มของทางเดินอาหาร: เช่น อยากปัสสาวะบ่อย ปวดประจำเดือน หรือมีปัญหาทางเพศ

Fig2.jpeg

สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน


โรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง และไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถบอกสาเหตุของโรคนี้ได้อย่างแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากสาเหตุดังนี้


  1. การบีบตัวผิดปกติของลำไส้ใหญ่ หรืออาจเรียกว่าตะคริว ทำให้ลำไส้เกร็งตัวผิดปกติ (spastic colon) เกิดการบีบตัวอย่างรุนแรงจึงทำให้เกิดการปวดเกร็งลำไส้
  2. ภาวะไวต่ออาหาร หรือภาวะย่อยอาหารบางอย่างได้ไม่ดี เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย อาจเกิดจากแพ้อาหาร หรือไวต่ออาหาร การจดบันทึกอาหารที่รับประทานอาจจะช่วยบอกถึงอาหารที่แพ้ได้
  3. ลำไส้ไวความต่อความรู้สึกมากเกินไป เป็นความผิดปกติที่ไม่ได้มีโรค หรือการบีบตัวผิดปกติใด ๆ แต่ลำไส้ไวต่อความรู้สึกมากเกินไป
  4. ความเครียดหรือภาวะทางจิตเวช เพราะภาวะเครียด กังวลใจ ทำให้ลำไส้รับความรู้สึกไวขึ้น เกิดการปวดขึ้นได้
  5. เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหารและการติดเชื้ออื่น ๆ โดยมักพบอาการภายหลังจากมีการติดเชื้อ เช่น เชื้อไข้รากสาด หรือ เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ แต่กลไกที่ทำให้เกิดภาวะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด
  6. เกิดจากการใช้ยาบางชนิด

Fig3.jpg

โรคลำไส้แปรปรวน รักษาหายได้หรือไม่ ?


การรักษาโรคลำไส้แปรปรวนทำได้หลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ ทำให้หายชั่วคราว ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แนวทางในการรักษาในปัจจุบันได้แก่


  • การรักษาด้วยยา :อาจต้องใช้ยาหลายกลุ่มร่วมกัน เนื่องมีหลายกลุ่มอาการ และการตอบสนองต่อยาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ทำให้บางครั้งต้องใช้วิธีปรับยาหลายครั้ง ทั้งนี้แพทย์ต้องติดตามการรักษา และซักถามอาการจากผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง
  • การติดตามการรักษา: ในระยะแรก แพทย์อาจต้องติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยต้องเล่าอาการ นิสัยความเป็นอยู่ การรับประทาน รวมไปถึงประวัติทุกอย่างที่อาจมีผลต่อลำไส้ ซึ่งจะทำให้แพทย์วางแผนการรักษาง่ายขึ้น เช่น บางคนอาจแพ้อาหารบางอย่าง หรือมีปัญหาย่อยอาหารกลุ่มนมไม่ได้ (lactose intolerance)มีรายงานว่าความเครียด และโรคซึมเศร้าก็เป็นสาเหตุของอาการของลำไส้แปรปรวนได้ ดังนั้นผู้ป่วยควรมีสมุดบันทึกอาการและเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดเพื่อประโยชน์ในการรักษา
  • ปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทาน: มีข้อสันนิษฐานว่า อาการของผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งมีสาเหตุจากปัญหาการย่อย หรือแพ้อาหาร จึงมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุหรืออาหารที่แพ้ โดยแพทย์จะแนะนำให้ลองหลีกเลี่ยงอาหารบางกลุ่มได้แก่
    • อาหารกลุ่มนม เพราะพบคนที่มีปัญหาย่อยอาหารกลุ่มนมได้บ่อย (มีอาการ คือ กินนมแล้วท้องเสีย หรือท้องอืด)
    • อาหารที่ทำให้เกิดลมในท้อง เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ดอกกะหล่ำ บรอกโคลี กะหล่ำปลี หัวหอม แคร์รอต ลูกเกด กล้วย แอพริคอท ลูกพรุน ถั่วงอกหรือแป้งสาลี เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการปวดบีบได้
    • อาหารที่ย่อยยาก เช่น ผักบางอย่าง เนื้อบางอย่าง ของมัน ของทอด

โดยแพทย์มักจะแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารกลุ่ม low FODMAP diet (กลุ่มอาหารที่ไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้หรือส่งเสริมน้อย) ซึ่งจะช่วยลดอาการของลำไส้แปรปรวนได้อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนอาจไม่เกี่ยวกับอาหารใด ๆ เลยก็ได้ ดังนั้นจึงควรจดบันทึกอาหารแต่ละมื้ออย่างละเอียด ร่วมกับจดบันทึกอาการที่เป็น อาจทำให้ค้นหาอาหารที่ทำให้เกิดอาการได้ชัดเจนขึ้น


แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากไยหรือไฟเบอร์ (fiber) มากขึ้น ซึ่งมักให้ผลดีในผู้ป่วยกลุ่มที่ปวดท้องแบบท้องผูก รวมถึงในกลุ่มที่ท้องเสียบางราย บางครั้งอาจต้องพิจารณาให้ไฟเบอร์ทางการแพทย์ โดยเชื่อว่าไฟเบอร์ทำให้ลำไส้บีบตัวได้ดีขึ้น


  • ลดความเครียด หรือแก้ปัญหาภาวะซึมเศร้า: ความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้าอาจทำให้อาการของโรคลำไส้แปรปรวนแย่ลง การปรึกษากับจิตแพทย์เพื่อลดปัญหาทางจิตใจดังกล่าวสามารถทำให้อาการของโรคนี้ดีขึ้นได้
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยในการทำงานของลำไส้ดีขึ้นได้

โรคลำไส้แปรปรวนไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจใดการตรวจหนึ่ง จึงต้องการการตรวจหลาย ๆ อย่าง เพื่อวินิจฉัย และแยกออกจากโรคของระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคภูมิแพ้ลำไส้อักเสบ เป็นต้น


แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย โดยจะถามถึงลักษณะอาการ ระยะเวลา ความรุนแรงของอาการ อาการที่สัมพันธ์กับอาหารหรือยา รวมไปถึงปัญหาความเครียด และโรคทางจิตเวช


และการตรวจอื่น ๆ ได้แก่ การตรวจเลือด การตรวจอุจจาระ การตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือลำใส้ใหญ่ส่วนปลาย (sigmoidoscopy) เพื่อแยกโรคลำไส้แปรปรวนออกจากโรคอื่น ๆ โดยการส่องกล้องสำไส้ใหญ่มักทำในคนที่สงสัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือในคนที่อายุมากกว่า 40 ปีซึ่งมีความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น

Fig4.jpg

สรุป


โรคลำไส้แปรปรวนหรือ IBS แม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่พบได้มากถึง 10 – 20% ของประชากรทั่วโลกและส่วนใหญ่ไม่ปรึกษาแพทย์ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้มักมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ ทำให้เกิดความหงุดหงิดรำคาญ ส่งผลต่อชิวิตประจำวันและการทำงานได้


นอกจากนี้อาการของโรคลำไส้แปรปรวนอาจมีอาการคล้ายกับอาการของโรคร้ายแรงบางอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ ดังนั้นหากมีอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ระพีพันธุ์  กัลยาวินัย

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และผู้ที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง

สิ่งที่สำคัญในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับแข็ง นั้นคือการรับประทานอาหาร ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง มีข้อจำกัดในการรับประทานโปรตีน ดังนั้นยิ่งต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญกับอาหารเป็นพิเศษ

ภาวะธาตุเหล็กเกิน (Hemochromatosis)

ภาวะธาตุเหล็กเกิน (hemochromatosis) เป็นภาวะที่มีการสะสมของเหล็กมากเกินไป มักมีสาเหตุจากการได้รับเลือด โรคธาลัสซีเมีย โรคทางพันธุกรรม โรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ผิดปกติ เช่น ตับ หัวใจ ตับอ่อน ต่อมใต้สมอง อัณฑะ รังไข่ และ ข้อต่อต่าง ๆ

ไวรัสตับอักเสบซี อีกไวรัสที่เป็นปัญหาของตับคนไทย(ตอนที่ 1)

ไวรัสตับอักเสบซี อีกไวรัส ที่เป็นปัญหาของตับคนไทย นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า นอกจากไวรัสบีแล้ววันนี้เรามารู้จักไวรัสซีต่อดีกว่า หลังจากมีการตรวจเช็คกันมากขึ้นก็พบ

ปรับพฤติกรรมการกิน ลดความเสี่ยง กรดไหลย้อน

กรดไหลย้อน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเมือง เช่น นอนน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานกาแฟและน้ำอัดลม โดยอาการกรดไหลย้อนนั้น เป็นภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้นสูง ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร

แนะนำการรักษามะเร็งตับ

แนะนำการรักษามะเร็งตับ โดยนายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า ในบทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาครับ ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับการป้องกัน การค้นหา และ การวินิจฉัย

การดื่มสุรา ภัยโรคตับที่คุณอาจไม่รู้ตัว

การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ หรือสุรานั้น อยู่คู่สังคมเรานับเป็นพันปีแล้ว เช่นกันมีการพบการเสียชีวิตของคนสำคัญของโลกจากการดื่มสุรา จนทำให้คนเหล่านั้นแทนที่จะทำประโยชน์แก่โลกเรากลับทำให้เสียชีวิตก่อนวัยที่ควรจะเป็น

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ, ก้อนในตับ มีวิธีคิด หรือ ตรวจสอบอย่างไร นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า เกริ่น มักวินิจฉัยได้ช้า เพราะไม่มีอาการ

GI: ไวรัสตับอักเสบบี โรคอันตรายที่ใกล้ตัวคุณ

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหาร และ โรคตับ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรคไวรัสไม่ว่าโรคใดก็ตาม ถ้าสามารถก่อให้เกิดโรครุนแรง หรือเรื้อรังได้ จะเป็นโรคที่น่ากลัวมาก เพราะปัจจุบันยาที่สามารถรักษาเชื้อไวรัส

ทางเดินอาหาร: เชื้อไทฟอยด์ หรือ salmonella เชื้อที่ได้ยินชื่อนี้บ่อย

นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหาร และโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า 1. เชื้อนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้หลายรูปแบบดังนี้ครับ ลำใส้อักเสบ ท้องเสีย หรือ ปวดท้อง gastroenteritis ไข้สูง ไข้ไทฟอยด์

การผ่าตัดเปลี่ยนตับ อีกหนทางในการรักษาโรคตับที่หมดหวัง

น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ ผู้เชี่ยวชาญแผนกทางเดินอาหาร และโรคตับ ร.พ.พระรามเก้า ปัจจุบันโรคตับฉับพลันแบบที่เรียกว่าตับวาย หรือโรคตับเรื้อรังในระยะสุดท้าย ที่เรียกว่าตับแข็ง สามารถ รักษาให้อาการทั่วไปดีขึ้น

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital