บทความสุขภาพ

Knowledge

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ในโลกปัจจุบันที่โรคต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โรคตับอักเสบบีได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สำคัญและน่ากังวล สาเหตุอย่างหนึ่งของโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ สามารถนำไปสู่อาการเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคตับอักเสบบี รวมทั้งวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยจะพาผู้อ่านไปสำรวจข้อมูลตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การใช้ยาต้านไวรัส การดูแลตัวเอง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตประจำวัน


ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?


ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายเซลล์ตับ ไวรัสนี้มีชื่อว่า hepatitis B virus (HBV) และสามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี ทั้งผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของบุคคลที่ติดเชื้อ การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนไวรัส การมีเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด


ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดโรคทั้งในรูปแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ในรูปแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง และปวดท้อง ส่วนในรูปแบบเรื้อรัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังคงทำลายตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว


การรักษาไวรัสตับอักเสบบี


การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมุ่งเน้นทั้งการจัดการกับการติดเชื้อและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ วิธีการรักษาสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือการรักษาในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง


การรักษาในระยะเฉียบพลัน


ผู้ป่วยที่มีไวรัสตับอักเสบบีในรูปแบบเฉียบพลันมักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้เอง อาจกินเวลาหลายเดือน การรักษาในระยะนี้มักเน้นที่การบรรเทาอาการ เช่น การให้สารน้ำทดแทนและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือการนอนโรงพยาบาลร่วมด้วย


การรักษาในระยะเรื้อรัง

สำหรับผู้ที่มีโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง การรักษามุ่งเน้นไปที่การใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ยาต้านไวรัสจะช่วยลดจำนวนไวรัสในร่างกาย ลดการอักเสบและความเสียหายของตับ และช่วยป้องกันการกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การรักษานี้มักต้องใช้เวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต โดยแพทย์มีการนัดตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาและปรับปรุงแผนการรักษาตามความจำเป็น


อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีคือ การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาต้านไวรัสบางชนิด การกลายพันธุ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไวรัส ทำให้ยาที่เคยใช้ได้ผลกลายเป็นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ


ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์


ไวรัสตับอักเสบบีสามารถกลายพันธุ์ได้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของตัวเองได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการกินยาไม่สม่ำเสมอ และปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ ของผู้ป่วย เช่น มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เป็นเพศชาย เป็นโรคเอดส์ร่วมด้วย มีค่าเอนไซม์ก่อนการรักษาต่ำ ผลการตรวจชิ้นเนื้อไม่ดีตั้งแต่ก่อนการรักษา นับไวรัส DNA ก่อนรักษา มากกว่า 149 ล้านตัว และหลังการรักษาไประยะหนึ่งแล้วไวรัสยังมากกว่า 10,000 ตัว การกลายพันธุ์หลัก ๆ มี 2 ชนิด ดังนี้


ไวรัสบีที่มีการกลายพันธุ์แบบไม่มี HBeAg (HBeAg negative hepatitis)


ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทั่วไป (HBeAg positive hepatitis) การตรวจ HBeAg จะเป็นบวก ซึ่งหมายถึงมีจำนวนไวรัสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบเยอะอย่างเห็นได้ชัด แต่ใน HBeAg negative hepatitis การตรวจ HBeAg จะเป็นลบ ซึ่งหมายถึงตรวจไม่พบ HBeAg แต่ยังมีการอักเสบเกิดขึ้นอยู่


**HBeAg (hepatitis B e-antigen) เป็นค่าที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อและมีการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (viral replication)


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะนี้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบระดับ SGPT (serum glutamic pyruvic transaminase) เพื่อตรวจสอบระดับของการอักเสบในตับของผู้ป่วย ถ้า SGPT สูงขึ้น อาจแสดงถึงการอักเสบในตับ จากนั้นแพทย์อาจส่งการตรวจ HBeAg เพื่อดูว่าเป็นลบหรือบวก ถ้า HBeAg เป็นลบและไม่มีสาเหตุตับอักเสบอื่น ๆ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจนับไวรัสตับอักเสบบี ถ้าจำนวนไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 1 แสนตัว อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ว่ามีการกลายพันธุ์ของไวรัสและไม่มี HBeAg ในเลือดของผู้ป่วย


การรักษา

การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีความยากลำบากในการรักษาและมีความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น การรักษาแบบเดิมๆ ด้วย IFN (interferon) หรือ Lamivudine ในช่วงแรกอาจมีผลดี แต่จะมีปัญหาการดื้อยาภายหลังที่มีความยากลำบากในการรักษาและเสี่ยงสูง ผลการรักษายังไม่ดีเท่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา ในปัจจุบันมักให้ยาทาน Lamivudine หรือ Adefovir ตลอดชีวิตโดยไม่หยุดยาเลย หรือแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยารักษาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ข้อจำกัดของยาฉีดคือมีราคาสูง


ผลการรักษาไวรัสบีกลายพันธุ์ ชนิดนี้พบว่ารักษาแล้ว สามารถหยุดการแบ่งตัวไวรัสได้ แต่ผลการรักษาไม่ดีเท่าไวรัสบีปกติทั่วไป ถ้าเลือกรับประทานยาตลอดชีวิต ในระยะยาวก็มักเกิดการดื้อยา ต้องเปลี่ยนยาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจไม่มียารักษา ผู้ป่วยหลาย ๆ รายจึงอาจตัดสินใจฉีดยารักษาแม้ว่าแพงกว่ามากก็ตาม


การกลายพันธุ์จนสามารถดื้อยารักษาแบบรับประทาน Lamivudine (YMDD mutant)


Tyrosine-methionine-aspartate-aspartate (YMDD) mutant เป็นรูปแบบที่เกิดการกลายพันธุ์ที่กระทบต่อการรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส เช่น Lamivudine หรือ Entecavir ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยในระหว่างการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเช่น Lamivudine ไวรัสตับอักเสบบีอาจมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในพื้นที่ที่เรียกว่า YMDD motif ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในกระบวนการเพิ่มจำนวนไวรัส การกลายพันธุ์นี้ทำให้ยา Lamivudine ไม่สามารถยับยั้งไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยทำได้โดยการติดตามการรักษาด้วยยา Lamivudine ในระยะเวลาหนึ่ง หากเกิดตับอักเสบร่วมกับการเพิ่มจำนวนไวรัสตับอักเสบบีในเลือดเป็นหลักแสนหรือล้านตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าไวรัสกลายพันธุ์และมีความเสี่ยงในการดื้อยา Lamivudine ในระยะยาว


แต่อย่างไรก็ตามต้องแยกจากผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ จนทำให้จำนวนไวรัสในร่างกายเพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ตับอักเสบมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มนี้หากกลับมารับประทานยาสม่ำเสมอและแก้สาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นและไม่ใช่กลุ่มที่เป็นไวรัสตับอักเสบกลายพันธุ์


การรักษา

ให้เพิ่มยารักษาไวรัสบีตัวใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัว แล้วทำการติดตามตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด หรือ นัดตรวจถี่ขึ้นจนแน่ใจว่าไวรัสไม่อักเสบแล้ว หรือ พิจารณาย้ายไปรักษาด้วยการฉีดยารักษาแทนการกินยารักษา


การดำเนินโรคของการกลายพันธุ์


การกลายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบบีมีรายงานว่าสามารถทำให้โรคดำเนินไปเร็วกว่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา และอาจทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี


อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยา


  • ในระยะ 1 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 14%
  • ในระยะ 2 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 38%
  • ในระยะ 3 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 49%
  • ในระยะ 4 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 66%
  • ในระยะ 5 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 69%

อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรับยาต้านไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การรักษาไวรัสตับอักเสบบีที่กลายพันธุ์ดื้อยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและควรคำนึงถึงอย่างใกล้ชิดในการรักษาผู้ป่วยในระยะยาว


การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี


การฉีดวัคซีนตับอักเสบบี


วัคซีนตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันหลักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้ การฉีดวัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีและป้องกันการติดเชื้อในระยะต่อไป


การฉีดวัคซีนตับอักเสบบีสามารถทำได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทารกแรกเกิดจะได้รับวัคซีนตับอักเสบบีในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะได้รับในวันแรกหรือไม่นานหลังเกิดทั้งหมด 3 รอบ วัยผู้ใหญ่มีรอบการฉีดทั้งหมด 3 รอบในลักษณะเดียวกัน โดยรอบแรกจะเริ่มต้นในเวลาที่กำหนด และจากนั้นจะฉีดเข็มที่ 2 หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 1


ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง


การเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ควรเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย


การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ


ในผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยวางแผนสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น การวางแผนการฉีดวัคซีน และยังช่วยให้ทราบสุขภาพของตับโดยรวมอีกด้วย


ส่วนในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การตรวจสุขภาพตับจะทำให้ทราบถึงระยะของโรค ความรุนแรงของโรค ซึ่งมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษา ประเมินการรักษา และช่วยให้วางแผนการดูแลตัวเอง เพื่อควบคุมไม่ไห้โรครุนแรงขึ้น


ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจค่าต่าง ๆ เช่น


  • การตรวจ ALT ALT (alanine aminotransferase) ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของตับ ถ้าระดับ ALT สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณของการทำงานของตับที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การตรวจระดับไวรัสตับอักเสบบี (HBV DNA) ในเลือดช่วยให้แพทย์ประเมินปริมาณไวรัสที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อและติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับไวรัสในระยะต่อไป
  • การตรวจ HBsAg (hepatitis B surface antigen) เป็นวิธีการตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้าผลตรวจเป็นบวก หมายความว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

สรุป


ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่มีการติดเชื้อไวรัสแล้วทำให้เกิดตับอักเสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ การรักษาปัจจุบันของโรคนี้คือการรักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีทั้งยากินและยาฉีด ทั้งนี้ต้องร่วมกับการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันสาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการป้องกันการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตับอักเสบบีได้


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ระพีพันธุ์  กัลยาวินัย

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (1)

ดูทั้งหมด

ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Screening (HBsAg, Anti-HBs, Anti HBc (total))

ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Screening (HBsAg, Anti-HBs, Anti HBc (total))

ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี

฿ 1,100

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

แนะนำอาหารในผู้ป่วยตับแข็ง และผู้ที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง

สิ่งที่สำคัญในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับแข็ง นั้นคือการรับประทานอาหาร ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการทางสมองจากตับแข็ง มีข้อจำกัดในการรับประทานโปรตีน ดังนั้นยิ่งต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญกับอาหารเป็นพิเศษ

ภาวะธาตุเหล็กเกิน (Hemochromatosis)

ภาวะธาตุเหล็กเกิน (hemochromatosis) เป็นภาวะที่มีการสะสมของเหล็กมากเกินไป มักมีสาเหตุจากการได้รับเลือด โรคธาลัสซีเมีย โรคทางพันธุกรรม โรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ผิดปกติ เช่น ตับ หัวใจ ตับอ่อน ต่อมใต้สมอง อัณฑะ รังไข่ และ ข้อต่อต่าง ๆ

ไวรัสตับอักเสบซี อีกไวรัสที่เป็นปัญหาของตับคนไทย(ตอนที่ 1)

ไวรัสตับอักเสบซี อีกไวรัส ที่เป็นปัญหาของตับคนไทย นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า นอกจากไวรัสบีแล้ววันนี้เรามารู้จักไวรัสซีต่อดีกว่า หลังจากมีการตรวจเช็คกันมากขึ้นก็พบ

ปรับพฤติกรรมการกิน ลดความเสี่ยง กรดไหลย้อน

กรดไหลย้อน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเมือง เช่น นอนน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานกาแฟและน้ำอัดลม โดยอาการกรดไหลย้อนนั้น เป็นภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้นสูง ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร

แนะนำการรักษามะเร็งตับ

แนะนำการรักษามะเร็งตับ โดยนายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า ในบทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาครับ ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับการป้องกัน การค้นหา และ การวินิจฉัย

การดื่มสุรา ภัยโรคตับที่คุณอาจไม่รู้ตัว

การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ หรือสุรานั้น อยู่คู่สังคมเรานับเป็นพันปีแล้ว เช่นกันมีการพบการเสียชีวิตของคนสำคัญของโลกจากการดื่มสุรา จนทำให้คนเหล่านั้นแทนที่จะทำประโยชน์แก่โลกเรากลับทำให้เสียชีวิตก่อนวัยที่ควรจะเป็น

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ, ก้อนในตับ มีวิธีคิด หรือ ตรวจสอบอย่างไร นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า เกริ่น มักวินิจฉัยได้ช้า เพราะไม่มีอาการ

GI: ไวรัสตับอักเสบบี โรคอันตรายที่ใกล้ตัวคุณ

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหาร และ โรคตับ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรคไวรัสไม่ว่าโรคใดก็ตาม ถ้าสามารถก่อให้เกิดโรครุนแรง หรือเรื้อรังได้ จะเป็นโรคที่น่ากลัวมาก เพราะปัจจุบันยาที่สามารถรักษาเชื้อไวรัส

ทางเดินอาหาร: เชื้อไทฟอยด์ หรือ salmonella เชื้อที่ได้ยินชื่อนี้บ่อย

นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหาร และโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า 1. เชื้อนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้หลายรูปแบบดังนี้ครับ ลำใส้อักเสบ ท้องเสีย หรือ ปวดท้อง gastroenteritis ไข้สูง ไข้ไทฟอยด์

การผ่าตัดเปลี่ยนตับ อีกหนทางในการรักษาโรคตับที่หมดหวัง

น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ ผู้เชี่ยวชาญแผนกทางเดินอาหาร และโรคตับ ร.พ.พระรามเก้า ปัจจุบันโรคตับฉับพลันแบบที่เรียกว่าตับวาย หรือโรคตับเรื้อรังในระยะสุดท้าย ที่เรียกว่าตับแข็ง สามารถ รักษาให้อาการทั่วไปดีขึ้น

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital