ในยุคที่เครื่องมือสื่อสารเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราขาดไม่ได้ การใช้งานโทรศัพท์ด้วยนิ้วมือซ้ำ ๆ ในท่าเดิมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการ ‘นิ้วล็อก’ หนึ่งในโรคกลุ่มออฟฟิศซินโดรม ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เนื่องจากนิ้วมือเป็นอวัยวะสำคัญที่มีการใช้งานตลอดเวลา ทำให้โรคนิ้วล็อกอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราจึงต้องทำความเข้าใจกันอย่างละเอียดว่า นิ้วล็อกเกิดจากอะไร? และอาการนิ้วล็อก รักษาอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและหาแนวทางในการในรักษาได้อย่างถูกต้อง
Key Takeaways
- นิ้วล็อก คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น ทำให้เกิดการหนาตัวของเนื้อเยื่อปลอกหุ้มเอ็นมากขึ้นจนรัดเส้นเอ็นงอนิ้ว จนไม่สามารถขยับนิ้วได้ตามปกติ
- กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นนิ้วล็อก ได้แก่ กลุ่มที่ต้องใช้มือทำงานหรือออกแรงบ่อยครั้ง รวมไปถึงผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์
- อาการของโรคนิ้วล็อกจะเริ่มจากการปวดโคนนิ้ว เคลื่อนไหวนิ้วลำบาก หากรุนแรงขึ้น นิ้วจะล็อกค้างอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่สามารถงอหรือเหยียดนิ้วเองได้
- นิ้วล็อกสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการพักใช้มือ แช่น้ำอุ่นให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และการบริหารนิ้วที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ แต่หากอาการหนักขึ้นอาจต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์
นิ้วล็อก คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนการรักษา
นิ้วล็อก (Trigger Finger) เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น (Tenosynovitis) ที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ปลอกหุ้มเอ็นส่วนดังกล่าวจะก่อตัวหนาหรือบวมขึ้นจนทำให้ขยับนิ้วไม่สะดวก อาการดังกล่าวสามารถเป็นได้ทั้งนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วพร้อมกัน หากนิ้วขยับไม่ได้ นิ้วงอ และมีอาการเคลื่อนไหวติดขัดเมื่อขยับนิ้วในการกำเเละเหยียดนิ้ว รวมถึงเกิดอาการปวดรุนแรง อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรค “นิ้วล็อก” ได้
สาเหตุของนิ้วล็อก เกิดจากอะไร?
สาเหตุของนิ้วล็อกยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มีความสัมพันธ์กับการใช้งานหรือออกแรงงอนิ้วซ้ำ ๆ มาดูกันเลยว่านิ้วล็อกเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง
- การใช้งานนิ้วมือซ้ำ ๆ เช่น พิมพ์งาน, เล่นโทรศัพท์, จับเครื่องมือ หรือทำงานบ้านที่ต้องกำมือแน่นบ่อย ๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- เอ็นนิ้วมืออักเสบ ทำให้ปลอกเอ็นหนาตัวขึ้น และขัดขวางการขยับหรือเคลื่อนไหวของเส้นเอ็น
- มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรครูมาตอยด์ ที่ส่งผลให้เส้นเอ็นอักเสบง่ายขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น เช่น คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเกิดนิ้วล็อกมากขึ้น
- ฮอร์โมนและเพศ ผู้หญิงมีแนวโน้มเกิดนิ้วล็อกมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงวัยหมดประจำเดือน
อาการของโรคนิ้วล็อก เป็นอย่างไร? อันตรายหรือไม่

อาการของโรคนิ้วล็อกที่พบโดยทั่วไป เริ่มจากการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ มีการเคลื่อนไหวนิ้วมือติดขัด สะดุด งอหรือเหยียดเองไม่ได้ และปวดหรือตึงเมื่อมีการงอนิ้ว โดยอาการของโรคนิ้วล็อก แบ่งตามระดับความรุนแรงได้ 4 ระยะดังนี้
อาการนิ้วล็อกระยะที่ 1
เจ็บโคนนิ้วด้านฝ่ามือ มีอาการปวด เจ็บ หรือระบมเมื่อกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า บางรายอาจรู้สึกตึงหรือติดขัดขณะขยับนิ้ว แต่ยังสามารถงอและเหยียดนิ้วได้ตามปกติ
อาการนิ้วล็อกระยะที่ 2
มีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานนิ้ว แต่ยังสามารถเหยียดนิ้วออกได้เอง โดยไม่ต้องใช้เเรงอื่นช่วย ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่านิ้วติดขัด แต่ยังสามารถใช้งานนิ้วมือได้
อาการนิ้วล็อกระยะที่ 3
อาการปวดและเจ็บโคนนิ้วเพิ่มขึ้น งอนิ้วแล้วมีอาการล็อก เหยียดนิ้วออกเองไม่ได้ ต้องใช้มืออีกข้างช่วยจับดึงนิ้วออกจากท่าที่ล็อก จนอาการเริ่มส่งผลต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
อาการนิ้วล็อกระยะที่ 4
อาการปวดบริเวณโคนนิ้วรุนแรงขึ้น นิ้วล็อกจนข้อนิ้วยึด ไม่สามารถงอหรือเหยียดนิ้วได้สุด
โรคนิ้วล็อก รักษาอย่างไรได้บ้าง?
หากเริ่มมีอาการนิ้วล็อก สิ่งสำคัญคือการได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งวิธีแก้อาการนิ้วล็อกสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามระดับความรุนแรงของโรค ดังนี้
การรักษาโรคนิ้วล็อกระยะที่ 1-2
สำหรับผู้ที่มีอาการนิ้วล็อกระยะเริ่มต้น (ระดับ 1-2) จะยังสามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ วิธีแก้อาการนิ้วล็อกจึงจะเน้นไปที่การลดการอักเสบ และป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องกำมือแน่น ๆ หรือใช้มือในท่าซ้ำ ๆ เช่น งานบ้านต่างๆ หรือการถือโทรศัพท์เล่นในท่าเดิม ๆ เป็นต้น
- พักการใช้งานนิ้วมือ ไม่ฝืนออกแรงงอนิ้ว เพราะอาจจะทำให้บาดเจ็บกว่าเดิมได้
- ใช้ที่ดามนิ้ว (Finger Splint) หรืออาจใช้เฝือกดามนิ้วชั่วคราว เพื่อเตือนและบังคับให้พักการใช้งานนิ้วมือนั้นๆ
- ประคบหรือแช่น้ำอุ่น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และลดอาการอักเสบ
- รับประทานยาแก้อักเสบ หากมีอาการปวดมาก แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนหรือนาพร็อกเซนเพื่อลดอาการอักเสบ
- กายภาพบำบัด เช่น การยืดเหยียดนิ้ว หรือการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อลดอาการอักเสบ และฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของนิ้ว
การรักษาโรคนิ้วล็อกระยะที่ 3-4
ในกรณีที่เป็นโรคนิ้วล็อกระยะรุนแรง (ระดับ 3-4) ซึ่งมีอาการล็อกจนเหยียดนิ้วออกเองไม่ได้ หรือข้อนิ้วยึดจนขยับได้น้อยลง อาจต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติมด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- ฉีดสเตียรอยด์เฉพาะที่ ลดการอักเสบที่ปลอกเอ็น มักใช้เป็นการรักษาในขั้นเเรกต่อจากการรักษาที่ได้กล่าวด้านบน
- การผ่าตัดแก้ไขนิ้วล็อก หากฉีดสเตียรอยด์เเล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือหายแต่กลับเป็นซ้ำอีก อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดวิธีนี้สามารถช่วยให้นิ้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้ด้วย
การผ่าตัดรักษานิ้วล็อก มีแบบไหนบ้าง?
เมื่ออาการของโรคนิ้วล็อกรุนแรงขึ้น การผ่าตัดรักษานิ้วล็อกก็เป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการผ่าตัดนิ้วล็อกมีด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้
- การผ่าตัดแบบเจาะรูผ่านผิวหนัง (Percutaneous Release) เป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เข็มหรือมีดผ่าตัดขนาดเล็ก เจาะผ่านผิวหนังเพื่อตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็น แผลจะมีขนาดเล็กประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ผู้ป่วยสามารถใช้งานนิ้วมือได้ทันทีหลังทำ แต่ต้องระวังการออกแรงนิ้วมากเกินไปอาจทำให้แผลอักเสบบวมตึงมากได้ หลังผ่าตัดต้องระวังไม่ให้แผลเปียก 24-48 ชั่วโมง และต้องเข้ามาติดตามผลกับแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีข้อจำกัดที่ไม่เห็นว่าภายในตัดปลอกหุ้มเอ็นได้หมดหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้มีการผ่าเปิดแผล และมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะบาดเจ็บเส้นประสาทนิ้วในกรณีที่ทำผ่าตัดที่นิ้วหัวแม่มือ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ในผู้ป่วยที่เหมาะสมเท่านั้น
- การผ่าตัดแบบเปิด (Open surgical debridement and release) เป็นเทคนิคที่แพทย์ออร์โธปิดิกส์ส่วนใหญ่ใช้เป็นวิธีแก้อาการนิ้วล็อก เพราะสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ชัดเจน และแผลไม่ได้มีขนาดใหญ่ไ(ประมาณ1เซนติเมตร) โดยแพทย์จะทำการเปิดแผลที่ฝ่ามือตรงโคนนิ้วที่เป็นนิ้วล็อก เพื่อให้เห็นเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น จากนั้นจึงเปิดปลอกหุ้มเส้นเอ็นออกเพื่อผ่าตัดแก้ไข ทดสอบการเคลื่อนไหวของนิ้ว และทำการเย็บปิดแผลเป็นอันเสร็จสิ้น ภายหลังการผ่าตัดเปิดแผลสามารถใช้งานนิ้วที่ผ่าตัดเบาๆได้ทันทีหลังทำเช่นเดียวกับการผ่าตัดแบบเจาะรู เพียงแต่จำเป็นต้องมีการเย็บแผลและตัดไหม โดยเฉลี่ยประมาณ 7-14 วัน ที่จะต้องระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ
วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดนิ้วล็อก ทำอย่างไรให้หายเร็วขึ้น?

หลังเข้ารับการรักษาโรคนิ้วล็อก การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดนั้นก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น เรามาดูกันว่าต้องดูแลตัวเองหลังรักษานิ้วล็อกอย่างไรบ้าง
- ขยับนิ้วงอ เหยียด หรือใช้งานเบา ๆ ในชีวิตประจำวันได้ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำ เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการยึดติดกันของเอ็นและข้อ
- ไม่พยายามขยับใช้งานนิ้วมากเกินไป เพราะอาจทำให้แผลผ่าตัดอักเสบปวดบวมมากขึ้น
- แผลผ่าตัดต้องแห้งอยู่เสมอ หากเปียกน้ำควรรีบทำแผลใหม่ทันที
- หากเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ต้องกลับไปตัดไหมช่วงประมาณ 7-14 วันหลังผ่าตัด (ขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์แต่ละท่าน และสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละราย)
- หากต้องรับประทานยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะ ต้องทานตามแพทย์แนะนำเท่านั้น
วิธีป้องกันนิ้วล็อก เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต
โรคนิ้วล็อกเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากปรับพฤติกรรมการใช้งานมือให้เหมาะสม โดยสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ้วล็อกได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการหิ้วของหนักด้วยนิ้วมือเป็นเวลานานหรือทำซ้ำบ่อย ควรใช้การอุ้มหรือประคองให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือหรือแขนแทน หรือนำของใส่รถเข็นลากแทน
- หลีกเลี่ยงการบิดผ้าซ้ำ ๆ เพราะใช้แรงที่โคนนิ้วมาก เสี่ยงเกิดการอักเสบ
- หากต้องทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรพักมือทุก 30-60 นาที และยืดเหยียดเอ็น/กล้ามเนื้อนิ้วมือ
- หากรู้สึกปวดตึงบริเวณนิ้วและฝ่ามือจากการใช้งานหนัก ควรแช่มือใน น้ำอุ่น 10-15 นาที แล้วกำ-แบมือเบา ๆ และยืดเหยียดนิ้วขณะแช่น้ำอุ่นร่วมกันได้
- ไม่ทำการบริหารนิ้วโดยการออกกำลังกำมือแน่น เช่นการบีบลูกบอล หรือที่ฝึกแรงบีบมือ เพราะจะทำให้โรคนิ้วล็อกแย่ลงจากการใช้งานออกแรงงอนิ้วมากขึ้นซ้ำอีก และทำให้นิ้วไม่ได้พัก
นิ้วล็อกอันตรายไหม รักษาได้หรือไม่?
นิ้วล็อก (Trigger Finger) แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานและเคลื่อนไหวมือ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้นิ้วล็อกถาวร ส่งผลให้ขยับนิ้วได้ลำบากและเจ็บปวดมากขึ้น ดังนั้น การใช้งานนิ้วมืออย่างพอเหมาะก็มีส่วนช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ้วล็อก รวมถึงลดโอกาสการเป็นซ้ำได้
หากต้องการปรึกษาหรืออยากรับคำแนะนำเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ หรือวิธีรักษาโรคนิ้วล็อกแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม /ศูนย์รักษ์ข้อ/ประจำโรงพยาบาลพระรามเก้ายินดีให้คำปรึกษาพร้อมแนวทางที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้งานนิ้วมืออย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง!
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนิ้วล็อก
1. กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรคนิ้วล็อกมีใครบ้าง?
กลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่ใช้มือทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ช่างตัดผม และแม่บ้าน รวมถึงผู้ที่ต้องออกแรงมือจับหรือบีบสิ่งของบ่อย ๆ เช่น นักดนตรี หรือช่างไม้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และเกาต์ ก็มีโอกาสเป็นนิ้วล็อกสูงกว่าคนทั่วไป
2. วิธีคลายปวดจากข้อนิ้วล็อกมีอะไรบ้าง?
สามารถบรรเทาอาการได้โดยพักการใช้งานมือ แช่มือในน้ำอุ่น 10-15 นาที แล้วกำ-แบมือเบา ๆ รวมถึงยืดเหยียดนิ้ว หากมีอาการปวดมากอาจใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
References
Tylor, SP., (2022, October). Trigger Finger. OrthoInfo. https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/trigger-finger/
Trigger Finger. (2022, December 3). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/trigger-finger/symptoms-causes/syc-20365100
Overview Trigger Finger. (2022, March 18). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/trigger-finger/