บทความสุขภาพ

Knowledge

นิ้วล็อก (Trigger Finger) คืออะไร? เข้าใจอาการ และการรักษา

ผศ.นพ. อรรถกร กาญจนพิบูลวงศ์

ในยุคที่เครื่องมือสื่อสารเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราขาดไม่ได้ การใช้งานโทรศัพท์ด้วยนิ้วมือซ้ำ ๆ ในท่าเดิมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการ ‘นิ้วล็อก’ หนึ่งในโรคกลุ่มออฟฟิศซินโดรม ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เนื่องจากนิ้วมือเป็นอวัยวะสำคัญที่มีการใช้งานตลอดเวลา ทำให้โรคนิ้วล็อกอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราจึงต้องทำความเข้าใจกันอย่างละเอียดว่า นิ้วล็อกเกิดจากอะไร? และอาการนิ้วล็อก รักษาอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและหาแนวทางในการในรักษาได้อย่างถูกต้อง


Key Takeaways


  • นิ้วล็อก คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น ทำให้เกิดการหนาตัวของเนื้อเยื่อปลอกหุ้มเอ็นมากขึ้นจนรัดเส้นเอ็นงอนิ้ว จนไม่สามารถขยับนิ้วได้ตามปกติ
  • กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นนิ้วล็อก ได้แก่ กลุ่มที่ต้องใช้มือทำงานหรือออกแรงบ่อยครั้ง รวมไปถึงผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • อาการของโรคนิ้วล็อกจะเริ่มจากการปวดโคนนิ้ว เคลื่อนไหวนิ้วลำบาก หากรุนแรงขึ้น นิ้วจะล็อกค้างอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่สามารถงอหรือเหยียดนิ้วเองได้
  • นิ้วล็อกสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการพักใช้มือ แช่น้ำอุ่นให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และการบริหารนิ้วที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ แต่หากอาการหนักขึ้นอาจต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์

นิ้วล็อก คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนการรักษา


นิ้วล็อก (Trigger Finger) เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น (Tenosynovitis) ที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ปลอกหุ้มเอ็นส่วนดังกล่าวจะก่อตัวหนาหรือบวมขึ้นจนทำให้ขยับนิ้วไม่สะดวก อาการดังกล่าวสามารถเป็นได้ทั้งนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วพร้อมกัน หากนิ้วขยับไม่ได้ นิ้วงอ และมีอาการเคลื่อนไหวติดขัดเมื่อขยับนิ้วในการกำเเละเหยียดนิ้ว รวมถึงเกิดอาการปวดรุนแรง อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรค “นิ้วล็อก” ได้


สาเหตุของนิ้วล็อก เกิดจากอะไร?


สาเหตุของนิ้วล็อกยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มีความสัมพันธ์กับการใช้งานหรือออกแรงงอนิ้วซ้ำ ๆ มาดูกันเลยว่านิ้วล็อกเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง


  • การใช้งานนิ้วมือซ้ำ ๆ เช่น พิมพ์งาน, เล่นโทรศัพท์, จับเครื่องมือ หรือทำงานบ้านที่ต้องกำมือแน่นบ่อย ๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
  • เอ็นนิ้วมืออักเสบ ทำให้ปลอกเอ็นหนาตัวขึ้น และขัดขวางการขยับหรือเคลื่อนไหวของเส้นเอ็น
  • มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน โรครูมาตอยด์ ที่ส่งผลให้เส้นเอ็นอักเสบง่ายขึ้น
  • อายุที่เพิ่มขึ้น เช่น คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเกิดนิ้วล็อกมากขึ้น
  • ฮอร์โมนและเพศ ผู้หญิงมีแนวโน้มเกิดนิ้วล็อกมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงวัยหมดประจำเดือน

อาการของโรคนิ้วล็อก เป็นอย่างไร? อันตรายหรือไม่


อาการนิ้วล็อก

อาการของโรคนิ้วล็อกที่พบโดยทั่วไป เริ่มจากการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ มีการเคลื่อนไหวนิ้วมือติดขัด สะดุด งอหรือเหยียดเองไม่ได้ และปวดหรือตึงเมื่อมีการงอนิ้ว โดยอาการของโรคนิ้วล็อก แบ่งตามระดับความรุนแรงได้ 4 ระยะดังนี้


อาการนิ้วล็อกระยะที่ 1


เจ็บโคนนิ้วด้านฝ่ามือ มีอาการปวด เจ็บ หรือระบมเมื่อกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า บางรายอาจรู้สึกตึงหรือติดขัดขณะขยับนิ้ว แต่ยังสามารถงอและเหยียดนิ้วได้ตามปกติ


อาการนิ้วล็อกระยะที่ 2


มีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานนิ้ว แต่ยังสามารถเหยียดนิ้วออกได้เอง โดยไม่ต้องใช้เเรงอื่นช่วย ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่านิ้วติดขัด แต่ยังสามารถใช้งานนิ้วมือได้


อาการนิ้วล็อกระยะที่ 3


อาการปวดและเจ็บโคนนิ้วเพิ่มขึ้น งอนิ้วแล้วมีอาการล็อก เหยียดนิ้วออกเองไม่ได้ ต้องใช้มืออีกข้างช่วยจับดึงนิ้วออกจากท่าที่ล็อก จนอาการเริ่มส่งผลต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน


อาการนิ้วล็อกระยะที่ 4


อาการปวดบริเวณโคนนิ้วรุนแรงขึ้น นิ้วล็อกจนข้อนิ้วยึด ไม่สามารถงอหรือเหยียดนิ้วได้สุด


โรคนิ้วล็อก รักษาอย่างไรได้บ้าง?


หากเริ่มมีอาการนิ้วล็อก สิ่งสำคัญคือการได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งวิธีแก้อาการนิ้วล็อกสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามระดับความรุนแรงของโรค ดังนี้


การรักษาโรคนิ้วล็อกระยะที่ 1-2


สำหรับผู้ที่มีอาการนิ้วล็อกระยะเริ่มต้น (ระดับ 1-2) จะยังสามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ วิธีแก้อาการนิ้วล็อกจึงจะเน้นไปที่การลดการอักเสบ และป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม ได้แก่


  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องกำมือแน่น ๆ หรือใช้มือในท่าซ้ำ ๆ เช่น งานบ้านต่างๆ หรือการถือโทรศัพท์เล่นในท่าเดิม ๆ เป็นต้น
  • พักการใช้งานนิ้วมือ ไม่ฝืนออกแรงงอนิ้ว เพราะอาจจะทำให้บาดเจ็บกว่าเดิมได้
  • ใช้ที่ดามนิ้ว (Finger Splint) หรืออาจใช้เฝือกดามนิ้วชั่วคราว เพื่อเตือนและบังคับให้พักการใช้งานนิ้วมือนั้นๆ
  • ประคบหรือแช่น้ำอุ่น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และลดอาการอักเสบ
  • รับประทานยาแก้อักเสบ หากมีอาการปวดมาก แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนหรือนาพร็อกเซนเพื่อลดอาการอักเสบ
  • กายภาพบำบัด เช่น การยืดเหยียดนิ้ว หรือการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อลดอาการอักเสบ และฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของนิ้ว

การรักษาโรคนิ้วล็อกระยะที่ 3-4


ในกรณีที่เป็นโรคนิ้วล็อกระยะรุนแรง (ระดับ 3-4) ซึ่งมีอาการล็อกจนเหยียดนิ้วออกเองไม่ได้ หรือข้อนิ้วยึดจนขยับได้น้อยลง อาจต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติมด้วยวิธีการดังต่อไปนี้


  • ฉีดสเตียรอยด์เฉพาะที่ ลดการอักเสบที่ปลอกเอ็น มักใช้เป็นการรักษาในขั้นเเรกต่อจากการรักษาที่ได้กล่าวด้านบน
  • การผ่าตัดแก้ไขนิ้วล็อก หากฉีดสเตียรอยด์เเล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือหายแต่กลับเป็นซ้ำอีก อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดวิธีนี้สามารถช่วยให้นิ้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้ด้วย

การผ่าตัดรักษานิ้วล็อก มีแบบไหนบ้าง?


เมื่ออาการของโรคนิ้วล็อกรุนแรงขึ้น การผ่าตัดรักษานิ้วล็อกก็เป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการผ่าตัดนิ้วล็อกมีด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้


  • การผ่าตัดแบบเจาะรูผ่านผิวหนัง (Percutaneous Release) เป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เข็มหรือมีดผ่าตัดขนาดเล็ก เจาะผ่านผิวหนังเพื่อตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็น แผลจะมีขนาดเล็กประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ผู้ป่วยสามารถใช้งานนิ้วมือได้ทันทีหลังทำ แต่ต้องระวังการออกแรงนิ้วมากเกินไปอาจทำให้แผลอักเสบบวมตึงมากได้ หลังผ่าตัดต้องระวังไม่ให้แผลเปียก 24-48 ชั่วโมง และต้องเข้ามาติดตามผลกับแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีข้อจำกัดที่ไม่เห็นว่าภายในตัดปลอกหุ้มเอ็นได้หมดหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้มีการผ่าเปิดแผล และมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะบาดเจ็บเส้นประสาทนิ้วในกรณีที่ทำผ่าตัดที่นิ้วหัวแม่มือ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ในผู้ป่วยที่เหมาะสมเท่านั้น
  • การผ่าตัดแบบเปิด (Open surgical debridement and release) เป็นเทคนิคที่แพทย์ออร์โธปิดิกส์ส่วนใหญ่ใช้เป็นวิธีแก้อาการนิ้วล็อก เพราะสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ชัดเจน และแผลไม่ได้มีขนาดใหญ่ไ(ประมาณ1เซนติเมตร) โดยแพทย์จะทำการเปิดแผลที่ฝ่ามือตรงโคนนิ้วที่เป็นนิ้วล็อก เพื่อให้เห็นเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น จากนั้นจึงเปิดปลอกหุ้มเส้นเอ็นออกเพื่อผ่าตัดแก้ไข ทดสอบการเคลื่อนไหวของนิ้ว และทำการเย็บปิดแผลเป็นอันเสร็จสิ้น ภายหลังการผ่าตัดเปิดแผลสามารถใช้งานนิ้วที่ผ่าตัดเบาๆได้ทันทีหลังทำเช่นเดียวกับการผ่าตัดแบบเจาะรู เพียงแต่จำเป็นต้องมีการเย็บแผลและตัดไหม โดยเฉลี่ยประมาณ 7-14 วัน ที่จะต้องระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ

วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดนิ้วล็อก ทำอย่างไรให้หายเร็วขึ้น?


อาการนิ้วล็อก รักษาอย่างไร

หลังเข้ารับการรักษาโรคนิ้วล็อก การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดนั้นก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น เรามาดูกันว่าต้องดูแลตัวเองหลังรักษานิ้วล็อกอย่างไรบ้าง


  • ขยับนิ้วงอ เหยียด หรือใช้งานเบา ๆ ในชีวิตประจำวันได้ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำ เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการยึดติดกันของเอ็นและข้อ
  • ไม่พยายามขยับใช้งานนิ้วมากเกินไป เพราะอาจทำให้แผลผ่าตัดอักเสบปวดบวมมากขึ้น
  • แผลผ่าตัดต้องแห้งอยู่เสมอ หากเปียกน้ำควรรีบทำแผลใหม่ทันที
  • หากเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ต้องกลับไปตัดไหมช่วงประมาณ 7-14 วันหลังผ่าตัด (ขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์แต่ละท่าน และสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละราย)
  • หากต้องรับประทานยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะ ต้องทานตามแพทย์แนะนำเท่านั้น

วิธีป้องกันนิ้วล็อก เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต


โรคนิ้วล็อกเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากปรับพฤติกรรมการใช้งานมือให้เหมาะสม โดยสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ้วล็อกได้ดังนี้


  • หลีกเลี่ยงการหิ้วของหนักด้วยนิ้วมือเป็นเวลานานหรือทำซ้ำบ่อย ควรใช้การอุ้มหรือประคองให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือหรือแขนแทน หรือนำของใส่รถเข็นลากแทน
  • หลีกเลี่ยงการบิดผ้าซ้ำ ๆ เพราะใช้แรงที่โคนนิ้วมาก เสี่ยงเกิดการอักเสบ
  • หากต้องทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรพักมือทุก 30-60 นาที และยืดเหยียดเอ็น/กล้ามเนื้อนิ้วมือ
  • หากรู้สึกปวดตึงบริเวณนิ้วและฝ่ามือจากการใช้งานหนัก ควรแช่มือใน น้ำอุ่น 10-15 นาที แล้วกำ-แบมือเบา ๆ และยืดเหยียดนิ้วขณะแช่น้ำอุ่นร่วมกันได้
  • ไม่ทำการบริหารนิ้วโดยการออกกำลังกำมือแน่น เช่นการบีบลูกบอล หรือที่ฝึกแรงบีบมือ เพราะจะทำให้โรคนิ้วล็อกแย่ลงจากการใช้งานออกแรงงอนิ้วมากขึ้นซ้ำอีก และทำให้นิ้วไม่ได้พัก

นิ้วล็อกอันตรายไหม รักษาได้หรือไม่?


นิ้วล็อก (Trigger Finger) แม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานและเคลื่อนไหวมือ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้นิ้วล็อกถาวร ส่งผลให้ขยับนิ้วได้ลำบากและเจ็บปวดมากขึ้น ดังนั้น การใช้งานนิ้วมืออย่างพอเหมาะก็มีส่วนช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ้วล็อก รวมถึงลดโอกาสการเป็นซ้ำได้


หากต้องการปรึกษาหรืออยากรับคำแนะนำเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ หรือวิธีรักษาโรคนิ้วล็อกแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม /ศูนย์รักษ์ข้อ/ประจำโรงพยาบาลพระรามเก้ายินดีให้คำปรึกษาพร้อมแนวทางที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้งานนิ้วมืออย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง!


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนิ้วล็อก


1. กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรคนิ้วล็อกมีใครบ้าง?


กลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่ใช้มือทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ช่างตัดผม และแม่บ้าน รวมถึงผู้ที่ต้องออกแรงมือจับหรือบีบสิ่งของบ่อย ๆ เช่น นักดนตรี หรือช่างไม้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และเกาต์ ก็มีโอกาสเป็นนิ้วล็อกสูงกว่าคนทั่วไป


2. วิธีคลายปวดจากข้อนิ้วล็อกมีอะไรบ้าง?


สามารถบรรเทาอาการได้โดยพักการใช้งานมือ แช่มือในน้ำอุ่น 10-15 นาที แล้วกำ-แบมือเบา ๆ รวมถึงยืดเหยียดนิ้ว หากมีอาการปวดมากอาจใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม


References


Tylor, SP., (2022, October). Trigger Finger. OrthoInfo. https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/trigger-finger/


Trigger Finger. (2022, December 3). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/trigger-finger/symptoms-causes/syc-20365100


Overview Trigger Finger. (2022, March 18). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/trigger-finger/

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

ผศ.นพ. อรรถกร กาญจนพิบูลวงศ์

ผศ.นพ. อรรถกร กาญจนพิบูลวงศ์

ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

หมอนรองกระดูกเสื่อม ต้นเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังที่อายุน้อยก็พบได้

หมอนรองกระดูกเสื่อมคือภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกจนไม่สามารถทำหน้าที่ลดแรงกระแทกได้ ทำให้กระดูกรอบ ๆ สึกและอักเสบขึ้นจนเกิดอาการปวดเรื้อรัง

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา อีกหนึ่งสัญญาณเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica pain) เกิดจากการถูกกดทับที่เส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดจากช่วงเอวหรือสะโพกร้าวลงขาด้านหลัง บางรายอาจร้าวไปถึงน่องและเท้าได้

ปวดข้อเท้าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรไม่ให้เจ็บเรื้อรัง?

ทำความเข้าใจกับอาการปวดข้อเท้าที่ควรรู้ อาการแบบไหนที่ควรเข้าปรึกษาแพทย์? พร้อมเรียนรู้สาเหตุของอาการ วิธีรักษา ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เจ็บข้อเท้าเรื้อรัง

อาการปวดเข่าคืออะไร มีวิธีป้องกันข้อเข่ามีอะไรบ้าง?

อาการปวดเข่าเป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม และส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ การรู้ถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาอาการปวดเข่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออะไร รู้สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายดี

ภาวะข้อไหล่หลุดคืออาการที่พบได้บ่อยในคนที่ใช้แรงเยอะ ๆ หรือเคยไหล่หลุดมาก่อน มาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุดได้บ้าง และจะต้องดูแลรักษาตัวอย่างไ

กระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? รู้จักอาการ สาเหตุ และการป้องกัน

โรคกระดูกคอเสื่อมอันตรายไหม? ชวนคุณมาทำความรู้จักกับอาการ สาเหตุ และการรักษา เพื่อป้องกันสุขภาพตัวเองไม่ให้กระดูกคอได้รับบาดเจ็บ

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน ทางเลือกรักษาข้อเข่าเสื่อม แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน หรือ UKA เป็นการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยเอาผิวข้อเฉพาะส่วนที่สึกหรอออก และเก็บผิวข้อเข่าส่วนที่ยังมีสภาพดีไว้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวนาน ในการกลับไปใช้ข้อเข่าได้เหมือนธรรมชาติ

ผ่าตัดเข่าเสื่อมใส่ข้อเข่าเทียม หนทางเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กลับมาแอคทีฟได้อีกครั้ง

การผ่าตัดเข่าเสื่อม ใส่ข้อเข่าเทียม เป็นวิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมโดยการตัดผิวข้อที่เสื่อมออกแล้วแทนด้วยโลหะสังเคราะห์ ให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นอีกครั้ง

หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด นวัตกรรมการแพทย์ ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ฟื้นตัวเร็ว ลดความเสี่ยงการผ่าตัดซ้ำ

หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น ด้วยความสามารถในการช่วยศัลยแพทย์ให้ทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ และลดระยะเวลาพักฟื้นของผู้ป่วย ซึ่งการผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมที่ผู้ป่วยส่วนมากมักเป็นผู้สูงอายุ

เอ็นไขว้หน้าขาด เพิ่มความเสี่ยงเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร

เอ็นไขว้หน้าขาด (ACL) เป็นอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยในผู้ที่เล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวในลักษณะหมุนบิดข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าขาดความมั่นคง เพิ่มความเสี่ยงเข่าเสื่อมในอนาคต

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital