บทความสุขภาพ

Knowledge

อัมพาต คืออะไร? อาการเป็นแบบไหน? รวมข้อมูลที่ควรรู้

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

อัมพาต (Paralysis) โรคที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในร่างกาย ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุและยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ อีกด้วย แต่ทั้งนี้สามารถทำความเข้าใจถึงสาเหตุของโรคอัมพาตได้ว่าเกิดจากอะไร และมีแนวทางการรักษาอย่างไรบ้างเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ในอนาคต


Key Takeaways


  • อัมพาต (Paralysis) คือ โรคที่มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบหรือเกิดความเสียหายต่อไขสันหลัง ทำให้ ระบบประสาทและสมองทำงานผิดปกติไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้ตามปกติ
  • อัมพาต อัมพฤกษ์มีความแตกต่างกันที่ อัมพาตจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วนหรือทั้งหมด ขณะที่อัมพฤกษ์จะยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ เพียงแต่จะเคลื่อนไหวได้ช้าลง มีอาการชาร่วมด้วย
  • ปัจจุบันไม่มีการรักษาอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่รักษาตามสาเหตุของโรคอัมพาตเพื่อให้อาการไม่รุนแรงไปกว่าเดิม หรือฟื้นฟูให้ร่างกายกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติมากขึ้นได้
  • แนะนำสังเกตอาการอัมพาตจากสัญญาณเตือน BEFAST ว่าผู้ป่วยสูญเสียการทรงตัว (Balance) การมองเห็น (Eye) ใบหน้าบิดเบี้ยวมุมปากตก (Face) แขนหรือขาขยับไม่ได้ (Arm) สื่อสารไม่ได้ (Speech) และควรนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด (Time)

อัมพาต (Paralysis) คืออะไร?


อัมพาต หรือ Paralysis คือ โรคที่ทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากนัก ซึ่งกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมองในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และส่งให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาตในบางจุดได้ในที่สุด


อัมพาตมีสาเหตุมาจากอะไร?


หากถามว่าโรคอัมพาต เกิดจากอะไรนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาทและสมองที่ส่งผลให้สมองไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะ เช่น แขน หรือ ขา สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปกติ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคอัมพาต มีดังนี้


  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่หลอดเลือดสมองมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือมีลักษณะตีบแคบเนื่องจากไขมันเกาะผนังหลอดเลือดปริมาณมากรวมถึงมีปัญหาเส้นเลือดในสมองแตก หรือฉีกขาด ส่งผลให้สมองขาดเลือด ไม่สามารถทำงานได้ปกติและทำให้เกิดอาการอัมพาตตามมาในที่สุด•อาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้เนื้อเยื่อสมอง เส้นเลือด และเส้นประสาทในสมองเกิดความเสียหาย•อาการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง หรือบริเวณกระดูกคอที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งถ้าเกิดอาการบาดเจ็บหรือเสียหายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุตกจากที่สูงก็มีโอกาสที่จะทำให้เป็นอัมพาตได้
  • โรคอัมพาตตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากเป็นโรคสไปนา ไบฟิดา (Spina Bifida) หรือโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy)
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis) โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม (Motor Neuron Disease) โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งไขสันหลัง เนื้องอกในสมอง เนื้องอกในไขสันหลัง
  • โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillan Barre Syndrome)
  • โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคไลม์ (Lyme Disease) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เส้นประสาทเสียหายและเป็นอัมพาต โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) โรคไข้ไขสันหลังอักเสบ หรือโปลิโอ (Polio)

อาการของโรคอัมพาตเป็นอย่างไร?


เนื่องจากอัมพาต คือโรคที่มีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยอัมพาตส่วนใหญ่จึงมีลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวร่างกายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแขน ขา หรือร่างกายในจุดที่สามารถขยับได้ โดยอาการของโรคอัมพาตสามารถแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้


  • อัมพาตเฉพาะส่วน (Localized Paralysis) ที่สูญเสียการเคลื่อนไหวหรือความรู้สึกของร่างกายเฉพาะส่วนของร่างกายเท่านั้น เช่น ใบหน้า นิ้ว มือ เท้า เส้นเสียง
  • อัมพาตทั่วร่างกาย (Generalized Paralysis) จะมีลักษณะอาการในบริเวณที่มากกว่าอาการอัมพาตเฉพาะส่วน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคของแต่ละบุคคล ทั้งนี้สามารถแบ่งลักษณะอาการของอัมพาตทั่วร่างกายได้หลายประเภท ได้แก่

      ๏  อาการอัมพาตที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณแขนหรือขาเพียงข้างเดียวเท่านั้น (Monoplegia)
      ๏  โรคอัมพาตครึ่งซีก (Hemiplegia) หรืออาการอัมพาตที่เกิดขึ้นบริเวณทั้งแขนและขาในด้านเดียวของร่างกาย
      ๏  อัมพาตเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย (Paraplegia) หรือบริเวณตั้งแต่ช่วงกลางลำตัวลงไปและขาทั้งสองข้าง
      ๏  อัมพาตแขนขาทั้งสองข้าง (Tetraplegia หรือ Quadriplegia)
      ๏  กลุ่มอาการอัมพาตแบบ LIS (Locked-in syndrome) หรืออัมพาตทุกส่วนของร่างกายเหลือแค่การกลอกลูกตา ถือเป็นลักษณะอาการอัมพาตที่มีความรุนแรง
         ที่สุด

นอกจากนี้ อาการของโรคอัมพาตยังสามารถแบ่งตามลักษณะกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตได้ด้วย คือ อัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (Flaccid Paralysis) ที่มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของระบบประสาทส่วนปลาย และอัมพาตแบบกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Spastic Paralysis) มีลักษณะอาการกล้ามเนื้อตึงและแข็ง มีโอกาสเป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของประสาทไขสันหลังหรือสมอง


ทั้งนี้ อัมพาตถือเป็นภัยเงียบที่จำเป็นต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองหรือคนใกล้ตัวอยู่เสมอ ซึ่งการสังเกตอาการของอัมพาตเบื้องต้นนั้น ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ, สูญเสียการทรงตัว และการมองเห็น, สื่อสารได้ลำบาก, แขนหรือขามีอาการชา อ่อนแรง ขยับเขยื้อนได้ช้าลง รวมถึงในบางรายอาจรู้สึกว่าใบหน้าเบี้ยว, มุมปากตก, กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรือเป็นตะคริว เป็นต้น


โรคอัมพฤกษ์และโรคอัมพาตมีความแตกต่างกันอย่างไร?


อัมพาต อัมพฤกษ์

อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นชื่อของโรคที่หลายคนมักเรียกติดกันเพราะอาจคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วอัมพาตและอัมพฤกษ์ต่างก็เป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular Accident) เพียงแต่มีลักษณะอาการที่ไม่เหมือนกัน คือ อัมพาตหมายถึงโรคที่สูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะจุดหรือทั้งหมดของร่างกาย ขณะที่อัมพฤกษ์จะมีเพียงอาการอ่อนแรง ชา หรือเคลื่อนไหวร่างกายเฉพาะส่วนได้เล็กน้อยเท่านั้น


ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัมพาตมีอะไรบ้าง?


อัมพาต เกิดจาก

อัมพาตมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง สามารถพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่สามารถก่อให้เกิดโรคอัมพาตในช่วงวัยอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น


  • ลักษณะทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หากมีประวัติของโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคทางระบบประสาทในครอบครัว จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและอัมพาตได้
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน เนื่องจากมีการสะสมของไขมันส่วนเกินในปริมาณมากและมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดหรือหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนทำให้ออกซิเจนในหลอดเลือดน้อยลงไม่สามารถเลี้ยงส่วนต่าง ๆ และเกิดเป็นปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองได้

จะเห็นได้ว่าปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาตนั้นมีทั้งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้นั้นควรทำความเข้าใจและหาแนวทางในการควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัมพาตในอนาคต


รักษาอัมพาตได้อย่างไรบ้าง?


ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่มีวิธีที่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้น หรือผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวจากอาการอัมพาตเร็วขึ้นได้ ซึ่งแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการอัมพาต ดังนี้


  • การใช้ยาเพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอัมพาต เช่น การใช้ยาละลายลิ่มเลือดป้องกันลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยอัมพาตที่มีอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง
  • การใช้สายสวนหลอดเลือดสมองเพื่อเกี่ยวลากลิ่มเลือดในกรณีที่มีหลอดเลือดใหญ่ในสมองอุดตัน หรือให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วอาการไม่ดีขึ้น
  • การผ่าตัด เช่น ในกรณีที่เกิดอาการอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการเป็นอัมพาตหรืออันตรายถึงชีวิต
  • การฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้ปกติ
  • การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (Transcranial Magnetic Stimulation) เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ ทำให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หรือลดการเกร็งของกล้ามเนื้อเนื่องจากอัมพาต
  • การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณแขน ขา รวมถึงผู้ป่วยอัมพาตเส้นเสียงที่พูดไม่ได้ก็จำเป็นต้องทำการฝึกพูด ฝึกสนทนาเพิ่มมากขึ้น
  • ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เป็นอัมพาตด้วยการออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการตึงหรือแข็งเกร็ง
  • ควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคอัมพาต เช่น ควบคุมระดับความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ รักษาระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ หรือหาแนวทางการรักษาไม่ให้โรคเบาหวานกำเริบ

ฉะนั้นแล้วการรักษาอัมพาตจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกันกับแพทย์ที่มีความชำนาญการ เพื่อรับการวินิจฉัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคอัมพาตและสามารถหาแนวทางในการรักษาโรคนี้ได้อย่างตรงจุดมากที่สุดและสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการดังกล่าวได้เร็วที่สุด


อัมพาต ไม่อยากเป็นตอนแก่ ต้องรีบดูแลตัวเอง


โรคอัมพาตเป็นภัยเงียบที่มีสาเหตุหลักมาจากโรคหลอดเลือดสมองและเกิดขึ้นได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคอัมพาตในอนาคตควรดูแลสุขภาพร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด หรือน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดอัมพาตในอนาคตได้


นอกจากนี้อย่าลืมเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย และสำหรับใครที่สำรวจตัวเองแล้วมีอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของโรคอัมพาต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท ซึ่งให้การดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอัมพาต


1. เราสามารถป้องกันอัมพาตได้อย่างไร?


ผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ แนะนำป้องกันโรคอัมพาตโดยการคุมระดับความดันโลหิตและน้ำตาลให้เป็นปกติ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงควรงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวม


2. สัญญาณเตือนอัมพาต BEFAST คืออะไร?


BEFAST หรือย่อมาจาก Balance สูญเสียการทรงตัว Eye ตาพร่ามัว F มีปัญหาปากเบี้ยว มุมปากตก Arm แขนหรือขาอ่อนแรง Speech สื่อสารไม่ได้ และ Time เวลาที่ต้องรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยสัญญาณเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง หากรู้จักและสังเกตผู้ป่วยตามสัญญาณเหล่านี้ได้ก็จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลาและลดความเสี่ยงจากการเป็นอัมพาตได้


References


Paralysis: What it is, causes, symptoms, management & types. (2024, October 22). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15345-paralysis


Slivinski, N., & Painter, K. (2024). Paralysis - Types of paralysis & their causes. WebMD. https://www.webmd.com/brain/paralysis-types


Eske, J. (2020). Paralysis: Types, symptoms, and treatment. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/paralysis

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

ศูนย์สมองและระบบประสาท

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

ตรวจพบกรดยูริกสูง เสี่ยงเกาต์เสี่ยงไต แก้ไขอย่างไรดี?

กรดยูริกสูงเกิดจากไตไม่สามารถขับกรดยูริกออกมาตามปกติ หรือร่างกายผลิตกรดยูริกมากเกินไป ส่งผลให้เกิดผลึกเกลือยูเรตสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย

ถุงน้ำในไต อันตรายเงียบ ที่กว่าจะรู้ตัวก็อาจไตวายไปเสียแล้ว

ถุงน้ำในไตเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในเนื้อไต โดยถุงน้ำจะไปรบกวนการทำงานของไต ผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ จนเนื้อไตเสียหายและเกิดไตวายในที่สุด

การตรวจ EEG วินิจฉัยเนื้องอก ภัยเงียบที่ต้องรีบรักษาก่อนสาย

EEG คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองโดยติดขั้วไฟฟ้าบนหนังศีรษะ เพื่อบันทึกสัญญาณไฟฟ้าของสมอง ช่วยตรวจหาความผิดปกติ เช่น โรคลมชัก เนื้องอกในสมอง เป็นต้น

เนื้องอกต่อมใต้สมอง ยิ่งตรวจพบเร็ว มีโอกาสรักษาหายได้ไว

ต่อมใต้สมอง เสมือนหอสั่งการให้ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ผลิตฮอร์โมนตามความต้องการของร่างกาย ความผิดปกติอาจทำให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

การปลูกถ่ายไต ทางเลือกการรักษาของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาภาวะไตวายเรื้อรังที่ให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากอัตราความสำเร็จของการผ่าตัดสูง และผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยการฟอกไตหรือการล้างไตผ่านทางหน้าท้อง

เรื่องควรรู้ก่อนการเสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นผ่าตัดเสริมสวยที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในชาวไทยเนื่องจากธรรมชาติของเรามักจะมีดั้งจมูกที่ค่อนข้างต่ำและมักมีปัญหาปลายจมูกไม่ได้รูปทรงที่เด่นชัด ซึ่งอาจมีทั้งปลายจมูกแบนหรือค่อนข้างกว้างขวาง รวมถึงปัญหาปีกจมูกที่ค่อนข้างกว้าง

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดีอย่างไร

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดี ผมรักษาโรคตับอับเสบอยู่ที่อื่นอยู่ปีกว่าก็ยังไม่รู้สาเหตุ ซึ่งมีคนแนะนำว่าให้ลองมารักษาที่ ร.พ.พระราม 9 ดู เพราะมีหมอเก่งหลายท่าน ผมก็เลยลองมาหาดู ซึ่งครั้งแรกที่ได้พบกับคุณหมอระพีพันธ์นั้นก็เกิดการประทับใจแล้ว

ผ่าตัดนิ้วล็อกมีกี่แบบ เลือกรักษาวิธีไหนที่เหมาะกับอาการของคุณ

การผ่าตัดนิ้วล็อกถือเป็นการผ่าตัดเล็ก ที่ช่วยรักษาอาการนิ้วล็อกให้หายได้ภายในเวลา 15-20 นาทีเท่านั้น และสามารถกลับไปพักที่บ้านต่อได้โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล

บ้านหมุน น่ากลัวไหม? เช็กสาเหตุอาการบ้านหมุน พร้อมวิธีรักษา

เข้าใจอาการบ้านหมุน เวียนหัวเกิดจากอะไร? ภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม เช็กสาเหตุ วิธีป้องกันบ้านหมุน และวิธีการรักษาโรคบ้านหมุน ทำอย่างไรให้ห่างไกลความเสี่ยง

อาการเวียนหัว เกิดจากสาเหตุใด ควรดูแลรักษายังไงเมื่อมีอาการ

อาการเวียนหัว เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้รู้สึกหมุนหรือโคลงเคลง มึนงง หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อาจเกิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเสียการทรงตัวได้

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital