บทความสุขภาพ

Knowledge

อัมพาต คืออะไร? อาการเป็นแบบไหน? รวมข้อมูลที่ควรรู้

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

อัมพาต (Paralysis) โรคที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในร่างกาย ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุและยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ อีกด้วย แต่ทั้งนี้สามารถทำความเข้าใจถึงสาเหตุของโรคอัมพาตได้ว่าเกิดจากอะไร และมีแนวทางการรักษาอย่างไรบ้างเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ในอนาคต


Key Takeaways


  • อัมพาต (Paralysis) คือ โรคที่มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบหรือเกิดความเสียหายต่อไขสันหลัง ทำให้ ระบบประสาทและสมองทำงานผิดปกติไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้ตามปกติ
  • อัมพาต อัมพฤกษ์มีความแตกต่างกันที่ อัมพาตจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วนหรือทั้งหมด ขณะที่อัมพฤกษ์จะยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ เพียงแต่จะเคลื่อนไหวได้ช้าลง มีอาการชาร่วมด้วย
  • ปัจจุบันไม่มีการรักษาอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่รักษาตามสาเหตุของโรคอัมพาตเพื่อให้อาการไม่รุนแรงไปกว่าเดิม หรือฟื้นฟูให้ร่างกายกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติมากขึ้นได้
  • แนะนำสังเกตอาการอัมพาตจากสัญญาณเตือน BEFAST ว่าผู้ป่วยสูญเสียการทรงตัว (Balance) การมองเห็น (Eye) ใบหน้าบิดเบี้ยวมุมปากตก (Face) แขนหรือขาขยับไม่ได้ (Arm) สื่อสารไม่ได้ (Speech) และควรนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด (Time)

อัมพาต (Paralysis) คืออะไร?


อัมพาต หรือ Paralysis คือ โรคที่ทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากนัก ซึ่งกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมองในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และส่งให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาตในบางจุดได้ในที่สุด


อัมพาตมีสาเหตุมาจากอะไร?


หากถามว่าโรคอัมพาต เกิดจากอะไรนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบประสาทและสมองที่ส่งผลให้สมองไม่สามารถสั่งการให้อวัยวะ เช่น แขน หรือ ขา สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปกติ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคอัมพาต มีดังนี้


  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่หลอดเลือดสมองมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือมีลักษณะตีบแคบเนื่องจากไขมันเกาะผนังหลอดเลือดปริมาณมากรวมถึงมีปัญหาเส้นเลือดในสมองแตก หรือฉีกขาด ส่งผลให้สมองขาดเลือด ไม่สามารถทำงานได้ปกติและทำให้เกิดอาการอัมพาตตามมาในที่สุด•อาการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้เนื้อเยื่อสมอง เส้นเลือด และเส้นประสาทในสมองเกิดความเสียหาย•อาการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง หรือบริเวณกระดูกคอที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งถ้าเกิดอาการบาดเจ็บหรือเสียหายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุตกจากที่สูงก็มีโอกาสที่จะทำให้เป็นอัมพาตได้
  • โรคอัมพาตตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากเป็นโรคสไปนา ไบฟิดา (Spina Bifida) หรือโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy)
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis) โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม (Motor Neuron Disease) โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งไขสันหลัง เนื้องอกในสมอง เนื้องอกในไขสันหลัง
  • โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillan Barre Syndrome)
  • โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคไลม์ (Lyme Disease) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เส้นประสาทเสียหายและเป็นอัมพาต โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) โรคไข้ไขสันหลังอักเสบ หรือโปลิโอ (Polio)

อาการของโรคอัมพาตเป็นอย่างไร?


เนื่องจากอัมพาต คือโรคที่มีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยอัมพาตส่วนใหญ่จึงมีลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวร่างกายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแขน ขา หรือร่างกายในจุดที่สามารถขยับได้ โดยอาการของโรคอัมพาตสามารถแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้


  • อัมพาตเฉพาะส่วน (Localized Paralysis) ที่สูญเสียการเคลื่อนไหวหรือความรู้สึกของร่างกายเฉพาะส่วนของร่างกายเท่านั้น เช่น ใบหน้า นิ้ว มือ เท้า เส้นเสียง
  • อัมพาตทั่วร่างกาย (Generalized Paralysis) จะมีลักษณะอาการในบริเวณที่มากกว่าอาการอัมพาตเฉพาะส่วน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคของแต่ละบุคคล ทั้งนี้สามารถแบ่งลักษณะอาการของอัมพาตทั่วร่างกายได้หลายประเภท ได้แก่

      ๏  อาการอัมพาตที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณแขนหรือขาเพียงข้างเดียวเท่านั้น (Monoplegia)
      ๏  โรคอัมพาตครึ่งซีก (Hemiplegia) หรืออาการอัมพาตที่เกิดขึ้นบริเวณทั้งแขนและขาในด้านเดียวของร่างกาย
      ๏  อัมพาตเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย (Paraplegia) หรือบริเวณตั้งแต่ช่วงกลางลำตัวลงไปและขาทั้งสองข้าง
      ๏  อัมพาตแขนขาทั้งสองข้าง (Tetraplegia หรือ Quadriplegia)
      ๏  กลุ่มอาการอัมพาตแบบ LIS (Locked-in syndrome) หรืออัมพาตทุกส่วนของร่างกายเหลือแค่การกลอกลูกตา ถือเป็นลักษณะอาการอัมพาตที่มีความรุนแรง
         ที่สุด

นอกจากนี้ อาการของโรคอัมพาตยังสามารถแบ่งตามลักษณะกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตได้ด้วย คือ อัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก (Flaccid Paralysis) ที่มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของระบบประสาทส่วนปลาย และอัมพาตแบบกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Spastic Paralysis) มีลักษณะอาการกล้ามเนื้อตึงและแข็ง มีโอกาสเป็นตะคริว กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของประสาทไขสันหลังหรือสมอง


ทั้งนี้ อัมพาตถือเป็นภัยเงียบที่จำเป็นต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองหรือคนใกล้ตัวอยู่เสมอ ซึ่งการสังเกตอาการของอัมพาตเบื้องต้นนั้น ได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ, สูญเสียการทรงตัว และการมองเห็น, สื่อสารได้ลำบาก, แขนหรือขามีอาการชา อ่อนแรง ขยับเขยื้อนได้ช้าลง รวมถึงในบางรายอาจรู้สึกว่าใบหน้าเบี้ยว, มุมปากตก, กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรือเป็นตะคริว เป็นต้น


โรคอัมพฤกษ์และโรคอัมพาตมีความแตกต่างกันอย่างไร?


อัมพาต อัมพฤกษ์

อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นชื่อของโรคที่หลายคนมักเรียกติดกันเพราะอาจคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วอัมพาตและอัมพฤกษ์ต่างก็เป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular Accident) เพียงแต่มีลักษณะอาการที่ไม่เหมือนกัน คือ อัมพาตหมายถึงโรคที่สูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะจุดหรือทั้งหมดของร่างกาย ขณะที่อัมพฤกษ์จะมีเพียงอาการอ่อนแรง ชา หรือเคลื่อนไหวร่างกายเฉพาะส่วนได้เล็กน้อยเท่านั้น


ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัมพาตมีอะไรบ้าง?


อัมพาต เกิดจาก

อัมพาตมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง สามารถพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่สามารถก่อให้เกิดโรคอัมพาตในช่วงวัยอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น


  • ลักษณะทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น หากมีประวัติของโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคทางระบบประสาทในครอบครัว จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและอัมพาตได้
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน เนื่องจากมีการสะสมของไขมันส่วนเกินในปริมาณมากและมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดหรือหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนทำให้ออกซิเจนในหลอดเลือดน้อยลงไม่สามารถเลี้ยงส่วนต่าง ๆ และเกิดเป็นปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองได้

จะเห็นได้ว่าปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาตนั้นมีทั้งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจัยที่สามารถควบคุมได้นั้นควรทำความเข้าใจและหาแนวทางในการควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัมพาตในอนาคต


รักษาอัมพาตได้อย่างไรบ้าง?


ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัมพาตได้โดยตรง เพียงแต่มีวิธีที่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้น หรือผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวจากอาการอัมพาตเร็วขึ้นได้ ซึ่งแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการอัมพาต ดังนี้


  • การใช้ยาเพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอัมพาต เช่น การใช้ยาละลายลิ่มเลือดป้องกันลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยอัมพาตที่มีอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง
  • การใช้สายสวนหลอดเลือดสมองเพื่อเกี่ยวลากลิ่มเลือดในกรณีที่มีหลอดเลือดใหญ่ในสมองอุดตัน หรือให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วอาการไม่ดีขึ้น
  • การผ่าตัด เช่น ในกรณีที่เกิดอาการอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการเป็นอัมพาตหรืออันตรายถึงชีวิต
  • การฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้ปกติ
  • การใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (Transcranial Magnetic Stimulation) เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ ทำให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หรือลดการเกร็งของกล้ามเนื้อเนื่องจากอัมพาต
  • การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณแขน ขา รวมถึงผู้ป่วยอัมพาตเส้นเสียงที่พูดไม่ได้ก็จำเป็นต้องทำการฝึกพูด ฝึกสนทนาเพิ่มมากขึ้น
  • ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เป็นอัมพาตด้วยการออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการตึงหรือแข็งเกร็ง
  • ควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคอัมพาต เช่น ควบคุมระดับความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ รักษาระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ หรือหาแนวทางการรักษาไม่ให้โรคเบาหวานกำเริบ

ฉะนั้นแล้วการรักษาอัมพาตจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกันกับแพทย์ที่มีความชำนาญการ เพื่อรับการวินิจฉัยถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคอัมพาตและสามารถหาแนวทางในการรักษาโรคนี้ได้อย่างตรงจุดมากที่สุดและสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการดังกล่าวได้เร็วที่สุด


อัมพาต ไม่อยากเป็นตอนแก่ ต้องรีบดูแลตัวเอง


โรคอัมพาตเป็นภัยเงียบที่มีสาเหตุหลักมาจากโรคหลอดเลือดสมองและเกิดขึ้นได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคอัมพาตในอนาคตควรดูแลสุขภาพร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด หรือน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดอัมพาตในอนาคตได้


นอกจากนี้อย่าลืมเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย และสำหรับใครที่สำรวจตัวเองแล้วมีอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของโรคอัมพาต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท ซึ่งให้การดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอัมพาต


1. เราสามารถป้องกันอัมพาตได้อย่างไร?


ผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ แนะนำป้องกันโรคอัมพาตโดยการคุมระดับความดันโลหิตและน้ำตาลให้เป็นปกติ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงควรงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวม


2. สัญญาณเตือนอัมพาต BEFAST คืออะไร?


BEFAST หรือย่อมาจาก Balance สูญเสียการทรงตัว Eye ตาพร่ามัว F มีปัญหาปากเบี้ยว มุมปากตก Arm แขนหรือขาอ่อนแรง Speech สื่อสารไม่ได้ และ Time เวลาที่ต้องรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยสัญญาณเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง หากรู้จักและสังเกตผู้ป่วยตามสัญญาณเหล่านี้ได้ก็จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลาและลดความเสี่ยงจากการเป็นอัมพาตได้


References


Paralysis: What it is, causes, symptoms, management & types. (2024, October 22). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15345-paralysis


Slivinski, N., & Painter, K. (2024). Paralysis - Types of paralysis & their causes. WebMD. https://www.webmd.com/brain/paralysis-types


Eske, J. (2020). Paralysis: Types, symptoms, and treatment. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/paralysis

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

นพ. สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

ศูนย์สมองและระบบประสาท

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

โรคช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม? รู้จักสาเหตุ อาการ และการรักษา

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) มีสาเหตุมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง หากไม่รับการรักษาอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

หมอนรองกระดูกเสื่อม ต้นเหตุอาการปวดหลังเรื้อรังที่อายุน้อยก็พบได้

หมอนรองกระดูกเสื่อมคือภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกจนไม่สามารถทำหน้าที่ลดแรงกระแทกได้ ทำให้กระดูกรอบ ๆ สึกและอักเสบขึ้นจนเกิดอาการปวดเรื้อรัง

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา อีกหนึ่งสัญญาณเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดสะโพกร้าวลงขา (Sciatica pain) เกิดจากการถูกกดทับที่เส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดจากช่วงเอวหรือสะโพกร้าวลงขาด้านหลัง บางรายอาจร้าวไปถึงน่องและเท้าได้

ปวดข้อเท้าเกิดจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรไม่ให้เจ็บเรื้อรัง?

ทำความเข้าใจกับอาการปวดข้อเท้าที่ควรรู้ อาการแบบไหนที่ควรเข้าปรึกษาแพทย์? พร้อมเรียนรู้สาเหตุของอาการ วิธีรักษา ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เจ็บข้อเท้าเรื้อรัง

คำแนะนำการป้องกันมาลาเรียสำหรับนักเดินทาง

โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากโปรโตซัว Plasmodium นำโดยยุงก้นปล่อง มีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ สายพันธ์ุที่รุนแรงคือ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในทวีปแอฟริกา ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง อวัยวะต่างๆล้มเหลว ติดเชื้อขึ้นสมอง โคม่า ชัก และเสียชีวิตได้ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า

ไส้เลื่อน ใครก็เป็นได้ อันตรายที่ต้องรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน

ไส้เลื่อน คือภาวะที่ลำไส้เลื่อนหรือดันออกมาจากช่องท้อง สามารถสังเกตเห็นก้อนนูนออกมาตามขาหนีบ หน้าท้อง สะดือ หากไม่รักษาอาจเกิดอันตรายจากอาการแทรกซ้อนได้

รู้ทันต้อหิน โรคร้ายทำลายการมองเห็น รีบรักษาก่อนสายเกินแก้

ต้อหิน (Glaucoma) คือโรคตาที่มีสาเหตุจากขั้วประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวปวดตา กระจกตาขุ่น การมองเห็นแย่ลง และค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด

Hypothyroidism คืออะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Hypothyroidism คือ ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนไทรอยด์ทำงานต่ำ ทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานลดลง และนำมาสู่การทำงานของระบบต่าง ๆ ผิดปกติ

รู้ทันอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ใครเวียนหัว บ้านหมุนบ่อยต้องระวัง

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นความผิดปกติของระบบน้ำในหูชั้นใน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ เวียนหัว บ้านหมุน ทรงตัวไม่อยู่ และการได้ยินผิดปกติ

หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก สัญญาณอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

หายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่หลายคนเผชิญ อาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มปอด หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย บทนี้ความจะพาไปดูสาเหตุของอาการเหล่านี้กัน

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital